วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

จดหมายถึงคุณตา .. ฉบับแรก







พ่อ...

แม่ยังไม่รู้เลยว่าจะส่งจดหมายฉบับนี้ให้พ่อที่ดาวดวงใด...แต่แม่ก็อยากบอกเล่าเรื่องราวและ ความรู้สึกต่างๆตั้งแต่วันที่พ่อเข้าโรงพยาบาล จนถึงวันสุดท้ายของพ่อ พ่อจากไปครบ 57 วันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพ่อไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ตรงนี้ เพียงแต่ไม่อาจสัมผัสได้...
เราอยู่ด้วยกันมานาน 32 ปี (ขาดไป2 วัน เพราะเราจะครบรอบแต่งงาน 32 ปีวันที่ 15 มกราคม) และก็จะยังคงอยู่ด้วยกันตลอดไป แม้เป็นเพียงความรู้สึก...

แม่จะบอกพ่อนะ ตั้งแต่วันที่พ่อป่วย........

10 มกราคม 2552
เช้าวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2552 พ่อตื่น 6 โมง ซึ่งสายกว่าปกติที่เคยตื่น คือ ตีสี่ หรือตีห้าเป็นอย่างช้า พ่อบอกว่า คืนนี้นอนหลับสบายเหลือเกินจนไม่ยอมตื่น และยังแซวแม่ว่า อาจเป็นเพราะคนที่นอนใกล้ๆ ไม่ส่งเสียงกรน ถ้าเป็นวันอื่นแม่จะฉุนที่พ่อพูดถึงเรื่องแม่นอนกรน แต่วันนี้แม่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่โกรธ เฉยๆ และก็ไม่ตอบโต้อะไร

พ่อขี่มอไซไปกดน้ำดื่ม และแอบกรึ๊บตามปกติเช่นทุกวัน วันนี้เป็นวันพระ ได้แผ่นปลิวสวดมนต์มาด้วย สายหน่อยก็พาเจ้าอ้วนหมาตัวโปรด (ลูกสุดท้อง) ออกไปเดินเล่นตามถนนในหมู่บ้าน กลับมาบ้านมานั่งที่บันได (ท่าทางเมานิดๆ) นั่งสวดมนต์ให้อ้วนฟังจนจบ 2 หน้า สักพักพ่อก็บอกหิว แล้วก็ตักข้าวราดกับมานั่งทาน อาหารเช้าวันนี้คือมื้อสุดท้ายของพ่อ มีน้ำพริกอ่องฝีมือพ่อเอง ผัดดอกหอมใส่ไข่ และแกงจืดวุ้นเส้น
แม่นั่งหน้าคอมฯ แปลงานให้น้องโบ พ่อเข้ามานอนที่โซฟา ไม่หลับแต่ดูทีวี.หน้าตาไม่สดชื่นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เครียด สัก 10 โมงพ่อก็เดินเข้าห้องนอนไป แม่เข้าใจว่าพ่อคงไปนอนหลับในห้อง เพราะวันนี้ลมแรง อากาศหนาวติดต่อกันมา 2 วันแล้ว แต่เกือบครึ่งชั่วโมงพ่อก็ออกมาถามว่าบ้านเรามียาระบายไหม แม่บอกว่าไม่มีมีแต่แอนตาซิล พ่อตอบว่า ไม่ใช่ท้องอืด มันอยากถ่าย ปวดถ่าย แต่ไม่ยอมออก แม่คิดว่าพ่อคงไม่เป็นอะไรมาก ก็เลยบอกให้ออกไปซื้อยาระบายที่ร้านในตลาดสี่มุมเมือง แต่พ่อบอกว่าไม่อยากไป ปวดท้อง ขอให้แม่ออกไปซื้อให้ คำตอบพ่อ แม่รู้ทันทีว่าพ่อเป็นมาก เพราะโดยปกติ พ่อจะชอบออกไปซื้อของนอกบ้าน ชอบไปเดินตลาด

แม่ไปซื้อยาระบายที่ร้านขายยาตลาดโรงโป๊ะ กลับมา 11.45 น. เภสัชกรบอกว่าให้ทาน 2 เม็ด ยาจะออกฤทธิ์ตอนค่ำ พ่อกินยาระบาย และ พาราเซทอีก 2 เม็ด เพราะตัวร้อนมาก พ่อพยายามเข้าไปนั่งถ่ายเอาเก้าอี้กลม และหมอนอิงมารองฟุบหน้าอยู่ในห้องน้ำ พ่อนั่งบนชักโครกเป็นเวลานานมาก แต่ก็ถ่ายไม่ออก
แม่พยายามชวนพ่อไปโรงพยาบาล แต่พ่อก็ปฏิเสธ ร้องขอยาระบายอีก แม่เลยต้องเก็บซ่อน จนเกือบหกโมงเย็นพ่อก็ทนไม่ไหว เจ็บปวด เหมือนมีอะไรมาอุดตรงรูทวารหนัก นั่งไม่ได้เลย ต้องใช้ก้นข้างใดข้างหนึ่งนั่งเอียงๆ แม่ชวนไปโรงพยาบาลอีก คราวนี้ไม่ตอบ แสดงว่าไป
แม่จึงโทรบอกลูกที่ทำงาน แม่รีบทำกับข้าวเย็นให้เสร็จ เพราะคิดว่าหลังจากไปโรงพยาบาลกลับมา เราจะนั่งกินข้าวกันพ่อแม่ลูกเหมือนเคย

โม่รีบกลับมาทันที และพาพ่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด คือโรงพยาบาลของสภากาชาด โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เย็นนี้รถติดมาก เพราะเป็นวันเด็ก และมีอุบัติเหตุเล็กๆ ข้างหน้าเราด้วย พ่อนั่งเอียงๆ เจ็บที่ทวารหนัก โม่พูดตลอดเวลาว่า พ่อทนหน่อยนะ ทนไหวไหม ... ..........เราไปถึงโรงพยาบาลเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ

เราอยู่กับพ่อที่ ร.พ.สมเด็จฯ เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ไม่ได้กินยาแก้ปวด หรือทำวิธีใดให้ถ่ายได้ นอกจาก เจาะเลือดไปตรวจ, ขอปัสาวะไปตรวจ, ฉายเอ็กซเรย์ ช่วงนี้ยาระบายคงออกฤทธิ์ พ่ออยากเข้าห้องน้ำบ่อยมาก โม่เข็นทั้งเตียงพาพ่อเข้าส้วม ลำบากมาก เพราะมีถุงน้ำเกลืออยู่ด้วย กางเกงพ่อเลอะอึ (ที่มีแต่น้ำ ไม่มีกาก) จนต้องขอกางเกงของ ร.พ. มาใส่
ในที่สุดผลจากฟิล์มเอ็กซเรย์ออกมา หมอก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นอะไร เพราะเขาบอกว่าฟิล์มไม่ชัด ต้อง Scan computer แต่ที่นี่ก็ไม่พร้อมทั้งเครื่องและคน อย่างไรก็ตามหมอให้งดอาหารและน้ำทันที
หมอให้เราพาพ่อที่กำลังเจ็บและอยู่ในสภาวะอ่อนล้า นั่งรถไปที่โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เพื่อไปสแกนคอมที่นั่น แล้วเอาพ่อกลับมาที่เดิมพร้อมฟิล์ม แม่ว่ามันคงทรมานมากที่พ่อต้องนั่งเอียงๆไป-กลับอีกหลายกิโล จึงปรึกษาลูกว่าเราขอประวัติการรักษาที่นี่ แล้วไปรักษาต่อที่ พญาไทฯดีไหม โม่เห็นด้วย เราจึงขอยืมประวัติ และฟิล์มเอกซเรย์ เพื่อไปรักษาที่พญาไทฯ หมอโทรติดต่อให้ และให้รถของพญาไทฯมารับในอีก 20 นาที
โม่ไปชำระเงิน เกือบพันบาท สักครู่เดียวรถโรงพยาบาลพญาไทฯก็มารับ แม่นั่งไปกับพ่อในรถ โม่ขับรถตามมา พ่อหนาวและปวดท้องมาก มือเย็นเฉียบ แต่พ่ออดทน ไม่พูดอะไร นานๆ จะครางสักที
พอมาถึงโรงพยาบาลพญาไทศรีราชาในอีก 15 นาทีต่อมา เราก็เห็นความแตกต่างของการให้บริการและรักษา(ที่นี่เป็นของเอกชน) ไม่กี่นาที พ่อก็ถูกนำตัวไป รอคิวเพื่อ Scan computer ขณะนั้นเป็นเวลา เกือบเที่ยงคืนแล้ว
เราได้ห้องพิเศษชั้น 10ห้อง 4 (คืนละ 3,700 บาท ถูกที่สุดของโรงพยาบาลนี้) โม่วางเงินไว้ล่วงหน้า 20,000 บาท ก่อน หากขาดเหลือค่อยเพิ่มหรือคืนแล้วแต่กรณี เรานั่ง-นอนรอพ่อ จนตีสอง พ่อก็ถูกพาเข้ามา พ่อรู้สึกตัว แต่อาการแย่มาก อาจารย์หมอณัฐวุฒิเรียกแม่และลูกไปฟังอธิบายผลของฟิล์ม เมื่อเห็นฟิล์มและได้ฟังหมอ ... ความรู้สึกบอกทันทีว่า...เราจะไม่มีพ่ออีกแล้ว...ต่อไปนี้
หมอพูดถึงคำว่าก้อนเนื้อ... คำว่ามะเร็ง... โม่เป็นลมทรุดนั่ง...
มันเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่เท่ากำปั้น งอกติดปลายลำไส้ใหญ่ ปิดรูทวารหนัก มันปิดมิด ซึมได้แต่ของเหลวในจำนวนไม่มาก นี่เองที่ทำให้พ่อถ่ายไม่ออก

หมอบอกว่าต้องผ่าตัดด่วน ผ่าตัดใหญ่ ตัดส่วนที่เป็นปัญหาออก แล้วต้องเอาใส้ออกมาไว้นอกร่างกาย ขับถ่ายข้างนอกทางลำไส้ แล้วเมื่อแผลสะอาดไม่ติดเชื้อ ก็นำกลับไปต่อเก็บเข้าไปตามเดิม หมอถามว่าสู้ค่ารักษา-ผ่าตัด ค่าห้องไอซียูหลังผ่าตัดได้ไหม ...

เลข 6 หลักแก่ๆ เกือบเจ็ดหลัก...

เราสองแม่ลูกตอบทันทีไม่ต้องคิดว่าเราไม่มีเงินมากถึงขนาดนั้น เงินเก็บของลูกก็แค่ไม่ กี่แสน ในที่สุดหมอก็ช่วยเหลือให้ได้รับการผ่าตัดโดยใช้บัตรทองข้ามจังหวัด หมอดีมาก ติดต่อโรงพยาบาลชลบุรี ซึ่งเป็นของรัฐบาล โม่ไปชำระเงินเพิ่ม เพราะค่าใช้จ่าย 4 ชั่วโมงที่นี่ 32,000 บาท แล้วจึงย้ายพ่อไปชลบุรีทันที เราถึงโรงพยาบาลประมาณตีสี่

11 มกราคม 2522
พ่ออยู่ห้องรวม (ศัลยกรรมชาย) ตึกชลาทิศ ชั้น 4 หมอยังคงให้ยาฆ่าเชื้อทางน้ำเกลือต่อไป เพราะหวังว่าจะลดอาการอักเสบและอาการเจ็บปวดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ตอนนี้พ่อยังปวดท้องอยู่ หิวน้ำ ปากแห้ง หมอไม่ให้กินน้ำ จนสายหน่อยน้องกุ้ง (แฟนโจ้ เพื่อนร่วมงานโม่) ที่เป็นพยาบาลที่นี่ ก็แอบให้พ่อจิบน้ำหน่อย พ่อรู้สึกตัวตลอด พยายามขอยาแก้ปวดจากพยาบาล หมออธิบายว่าที่ไม่ให้ยาแก้ปวด เพราะหากคนไข้รับยาแล้วอาการปวดจะทุเลา ซึ่งอาจทำให้หมอไม่สามารถรู้ว่าคนไข้เจ็บจริงมากน้อยแค่ไหน ยาที่ใช้อยู่ได้ผลหรือไม่

พ่อนอนเจ็บจนถึงเวลาบ่าย 2 โมงกว่า หมอก็ตัดสินใจสั่งเตรียมผ่าตัด แต่ความดัน และความเข้มของเลือดพ่อไม่ดีเลย จึงต้องเสียเวลา เติมเกล็ดเลือด และให้ยาเพิ่มความดันอีก รวมทั้งใช้เครื่องช่วยหายใจ เพราะพ่อเหนื่อยหายใจหอบ การเต้นของหัวใจอยู่ที่ 129-130 ครั้งต่อนาที
ช่วงที่หมดเวลาเยี่ยม แม่กับลูก โทรถาม 1672 ว่าที่ชลบุรี เขาไหว้พระที่วัดไหน เขาบอกว่าวัดธรรมนิมิตร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล เราแม่ลูกไปไหว้ขอให้พระช่วยพ่อด้วย... เรากลับมาอีกครั้งประมาณหกโมงเย็นเศษๆ เกือบทุ่ม พ่อก็เข้าห้องผ่าตัด

เรากลับมาบ้าน เพื่อดูแลเจ้าอ้วน และอาบน้ำ เตรียมเสื่อหมอนผ้าห่มเพื่อจะไปนอนที่โรงพยาบาล เนื่องจากมันไกล ใช้เวลาขับรถ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง กลับไปโรงพยาบาลอีกที 2 ทุ่มกว่า ระหว่างขับรถออกจากบ้าน โม่น้ำตาไหลตลอด พูดแต่ว่า อยากให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพ่อ โดยที่หมอผ่าแล้วไม่พบอะไรเลย และ พ่อก็หายเป็นปกติ... กลับไปอยู่กับเราอีก

เมื่อไปถึงขึ้นไปรอพ่อที่ห้อง ไอซียู. ชั้น 6 พอออกลิฟท์มา ก็เห็นเจ้าหน้าที่เข็นพ่อออกลิฟท์อีกตัวออกมาพอดี เราไม่เห็นว่าหน้าท้องพ่อจะมีอะไรวางอยู่ แม่ลูกมองหน้ากัน แล้วก็คิดไปในทางที่ดีว่า พ่ออาจไม่เป็นอะไรอย่างที่โม่ภาวนา...แต่...หมอบอกว่า การผ่าตัดครั้งนี้ ยังไม่ทันได้ทำอะไรกับอวัยวะส่วนไหนในท้องทั้งสิ้น เนื่องจากพบว่ามีน้ำท่วมในช่องท้องและมีการติดเชื้อ เชื้อซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว หมอขอนำน้ำไปเพาะเชื้อสักสามวันจะรู้ผล ตอนนี้เติมเกล็ดเลือดให้อีกเพื่อทำให้เชื้อที่เข้าไปอยู่ในเลือดเจือจางลง แม่ฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจถ่องแท้ แต่ดูจากสีหน้าหมอแล้ว...แม่กลัว !
พ่อยังไม่รู้สึกตัว หมอบอกว่าคงเป็นเช้ามืดพรุ่งนี้ฤทธิ์ยาสลบจึงจะหมด เราก็เลยขนที่นอนกลับไปนอนที่บ้าน หกโมงเช้าค่อยมาใหม่...

กลับมาถึงบ้านแม่รีบโทรหาลูกเม-ม่อนที่เชียงใหม่ ให้รีบเคลียร์งานและลางานนั่งรถทัวร์มาหาพ่อด่วน ไม่ต้องรอแล้ว (เดิมญาติๆจะมาเยี่ยมวันที่ 18 มกราคม) เพราะอาการของพ่อไม่ดีเลย
ลูกๆตกลงจะมาวันที่ 13 ตอนบ่าย เพื่อจะมาถึงชลบุรี ตีสี่ครึ่งของวันที่ 14
ป้าแอ๊ดตัดสินใจนั่งรถทัวร์มากับเม-ม่อนด้วย

หลังโทรหาลูกเสร็จ แม่นอนเคลิ้มๆ ตกใจตื่น เที่ยงคืนพอดี สะดุ้งตกใจ รู้สึกเหมือนพ่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบสว่าง

12 มกราคม 2522
เช้าวันนี้ เราออกบ้านประมาณ 6 โมงเช้า แวะธนาคารกรุงเทพอ่าวอุดม เพื่อโม่จะได้โอนเงินค่าตั๋วรถให้น้อง แม่โทรบอกให้เมโอนชื่อพ่อเข้ามาในทะเบียนบ้านของโม่ เพราะเรายังเชื่อว่าพ่อต้องไม่เป็นอะไรมาก ต้องออกโรงพยาบาลอย่างมีชีวิตแม้จะไม่ปกตินักก็ตาม โอนชื่อมาเพื่อที่จะได้ใช้สิทธิ์บัตรทองในการเข้ารับการรักษาครั้งต่อๆไป เมไปจัดการเสร็จเรียบร้อยตอนสายๆ ของวันนี้
ไปถึงโรงพยาบาลก็ได้เวลาเยี่ยมพอดี พ่อรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังเบลอๆ พูดไม่ได้ เพราะในปากมีท่อเครื่องช่วยหายใจอยู่ หมอบอกว่า พบโรคหัวใจรั่ว ความดันต่ำลง อาการทั่วๆ ไป ยังไม่ดีขึ้นเลย

เรากลับลงมานั่งอยู่ชั้นล่าง รอเวลาเยี่ยมช่วงที่สอง เที่ยงวัน ก็เข้าไปดูอาการยังทรงๆ รู้ตัวแบบเบลอๆ เรากลับออกมารอเยี่ยมอีกครั้ง หกโมงเย็น

เฝ้าดูเข็มนาฬิกาที่เดิน มันช่างช้าไม่ทันใจเราเลย พอหกโมงเป๊ะ แม่กับลูกขึ้นไปที่ไอซียู. น้องกุ้งออกเวรเช้าแล้วตามขึ้นมาด้วย พอถึงหน้าห้อง ไม่เห็นป้ายชื่อพ่อ โม่บอก..ป้ายชื่อพ่อไม่มี
โม่หน้าเสีย แม่มือเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน..ใจหายวาบ... พอน้องกุ้งสอบถามพยาบาลจึงได้ความว่า เขาย้ายไปห้องไอซียูอายุรกรรม เพราะจะได้ไปรักษาหัวใจโดยตรง เมื่อเวลา 15.25 น.

ตามไปที่อายุรกรรมไอซียู แต่เวลาเยี่ยมไม่ตรงกัน ต้องรอหนึ่งทุ่ม แม่อยากพบพ่อมาก ลงทุนโกหกหมอว่าขอเยี่ยมก่อนเพราะจะรีบไปขึ้นรถทัวร์กลับเชียงใหม่...

เมื่อเข้าไป พบหมอพอดี หมอแจ้งว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจในห้องแล็บ พบว่า ขณะนี้อวัยวะภายในทั้งหมดของพ่อ กำลังแย่ ตับวาย ไตวาย หัวใจรั่วและกล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนตายแล้ว ความดันต่ำเฉลี่ยที่ 70 หัวใจเต้นเร็ว 129-150 ครั้งต่อนาที พ่อพยายามพูด จับใจความจากริมฝีปากว่า “ปิ๊กบ้าน ไม่ไหวแล้ว” พยายามจะให้โม่แก้มัดเชือกที่ผูกข้อมือติดกับเตียง แต่เราก็ไม่สามารถเอาออกให้ได้ เพราะกลัวว่าพ่อจะดึงสายต่างๆ ออก หมอจึงต้องพันธนาการพ่อไว้ แม่และลูกก็ได้แต่บอกพ่อว่าให้อดทน เชื่อฟังหมอและพยาบาล เดี๋ยวพ่อก็หายแล้ว น้ำตาพ่อไหล พยายามพูดอะไรจับใจความไม่ได้.. ตัวพ่อเย็นและเหนียว มือบวม

คืนนี้เราแม่ลูกกลับบ้านด้วยอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน น้ำตาลูกไหลตลอดทางขับรถกลับบ้าน แม่จะร้องไห้ไม่ได้แล้ว... เมื่อลูกอ่อนแอ แม่ต้องเป็นหลัก แม่พยายามบอกลูกว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องปกติ หากลูกไม่เข้มแข็งเป็นหลักให้แม่กับน้องแล้ว แม่จะไปพึ่งใคร คำพูดของแม่ทำให้โม่ลดอาการโศกเศร้าลงได้ แต่ก็พูดว่า “ลูกกลัวว่าพ่อจะไม่รอน้อง...”

13 มกราคม 2522
เจ็ดโมงเช้าวันนี้เข้าไปเยี่ยมอาการของพ่อ พยาบาลเข้ามาหาแล้วบอกว่าอาการไม่ดีขึ้นเลย เมื่อคืนอาละวาด จะเตะพยาบาลที่เช็ดตัวให้ด้วยขาที่เป็นอิสระ 1 ข้าง แขนขาและตัวพ่ออุ่น ไม่เย็นเหมือนเมื่อคืน แต่ปลายเท้า ปลายมือ เย็นเฉียบ ประสบการณ์บอกแม่ว่า พ่อคงไม่อยู่กับเราแล้ว
พ่อลืมตา แต่มัวหม่น เหม่อลอยไม่มีจุดหมาย ไม่รู้สึกตัว มีน้ำตาซึมอยู่ที่หางตา โม่พูดอีกว่า
“แม่ ลูกกลัว..ว่าพ่อจะไม่รอน้อง...”

เราออกมานั่งที่ระเบียงหน้าห้องด้วยจิตใจที่เศร้ามากๆ แม่และลูกปรึกษากันว่าตอนนี้เราจะโทรบอกใครบ้าง แล้วแม่กับลูกก็ช่วยกันโทรบอกญาติพี่น้องของพ่อทั้งที่อยู่เชียงใหม่, สุพรรณบุรีและอเมริกา เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาของพ่อเท่าที่นึกออก

หมอเรียกแม่และโม่เข้าไปบอกว่า อาการโคม่าแล้ว หากหัวใจหยุดเต้นจะให้หมอช่วยปั๊มหัวใจหรือไม่ เมื่อสอบถามหมอแล้วทราบว่า ปั๊มหัวใจทำให้ได้ชีวิตคืนมาอีกสักพักแต่เวลาที่ช่วยนั้น พ่อต้องเจ็บหน้าอก จะมีเลือดไหลออกจากจมูก... แม่กับลูกจึงบอกหมอว่าขอให้พ่อไปโดยธรรมชาติสงบๆ

เป็นที่แน่นอนว่าเราจะไม่ได้พ่อคืนมาแล้ว แม่รีบโทรไปบอกป้าแอ๊ด ป้าแอ๊ดก็เลยรื้อกระเป๋าที่จัดแล้ว เอาเสื้อผ้าสีดำใส่แทน ป้าแอ๊ดพร้อมลูกเม-ม่อนจะขึ้นรถเที่ยว 15.30 น วันนี้ ถึงเช้ามืดพรุ่งนี้

เวลาเยี่ยมช่วงบ่าย 14.00 น. แม่กับโม่เข้าไปหาพ่ออีกครั้ง แม่จับมือพ่อและกระซิบบอกพ่อว่า “หากพ่ออยู่แล้วทรมานเหลือเกิน ก็ขอให้พ่อไปเถิด จงคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่พ่อเคยทำมาตลอดชีวิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งเลวร้ายต่างๆ อย่าคิดถึงมัน อย่าเอาติดตัวไป แต่ถ้าพ่อจะรอพบลูกก็ไม่เป็นไร แต่หากทนไม่ไหวก็ไม่ต้องรอ แม่จะบอกลูกเอง ลูกเราเป็นคนดีทุกคน พวกเขาเข้าใจพ่อ ไม่ต่อว่าพ่อหรอกที่พ่อไม่รอ....และพ่อก็ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ลูกโตแล้ว เรียนจบทุกคน ทำงานทุกคน และรับรองว่าโม่ไม่ทิ้งน้องกับแม่หรอก ” แม่เห็นน้ำตาพ่อคลอ หรือเป็นอุปาทานของแม่ก็ไม่รู้

เราออกมานั่งหน้าห้อง คิดว่าเดี๋ยวจะเข้าไปเยี่ยมอีกทีก่อนลงไปหาอะไรกิน เพราะช่วงนี้เวลาเยี่ยมนานหน่อย 14.00-16.00 น. พอดีคิดได้ว่าพ่อมีห่วงอีกหนึ่งอย่างคือ “เจ้าอ้วน” ที่มันไม่ยอมกินข้าวสักเม็ดตั้งแต่วันที่พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่ก็เข้าไปอีกที บอกพ่อว่า “ไม่ต้องห่วงเจ้าอ้วนแม่กับโม่จะเลี้ยง ดูแลอย่างดีที่สุดเหมือนพ่อดูแลมัน”
แม่กลับออกมานั่งกับโม่หน้าห้อง แป๊บเดียวพยาบาลก็วิ่งออกมาตามญาติของพ่อ...
หัวใจพ่อหยุดเต้นเวลา 15.25 น. เป็นเวลา 24 ชั่วโมงพอดีที่พ่อย้ายมาจากไอซียูศัลยกรรม

แม่กับโม่กราบเท้าพ่อ และบอกเป็นครั้งสุดท้าย .. ว่าขอให้ไปดี... ชาติหน้ามีจริงเราจะมาพบกันอีก แม่อยากร้องไห้ แต่กลัวว่าจะเพิ่มความเศร้าโศกให้ลูก กลัวลูกจะเสียขวัญ จริงๆ อยากร้องไห้และอยากบอกดังๆ ว่า เมื่อก่อนตอนที่เราร้ายๆต่อกัน แม่อยากให้พ่อตายๆๆๆ วันละไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าตอนนั้นพ่อตายแม่คงไม่เสียใจเท่าตอนนี้ ความรู้สึกบอกว่าโลกรังแกจิตใจเราเหลือเกิน ตอนที่พ่อทำอะไรร้ายๆ กับแม่ ทำไมพ่อไม่ตาย ณ วันนี้ พ่อเป็นคนดี อารมณ์ดี มนุษยสัมพันธ์ดี ขยัน ดูแลแม่และลูกเสมอ แม่ลูกเอ่ยปากอยากกินอะไร พ่อเป็นต้องหามาทำให้กินจนได้ แม้ของบางอย่างจะหาซื้อยากและแพงก็ตาม (ไม่ดีอยู่อย่างคือไม่เลิกดื่ม) ทำไมต้องมาทำให้เราจากกันตอนที่พ่อเป็นคนดี... พ่อจะกลับมาตอบคำถามนี้ก็ได้นะ

แม่โทร.บอกป้าแอ๊ดว่าพ่อไปแล้ว เป็นเวลาเดียวกันกับที่ล้อรถทัวร์นครชัยแอร์กำลังหมุนออกจากสถานีเชียงใหม่พอดี...
โม่ไปเคลียร์เงินส่วนเกิน ค่ายานอกบัญชี, ค่าเกล็ดเลือด, และอื่นๆ 3,700 กว่าบาท (จากค่ารักษาตามบิล หนึ่งแสนกว่าบาท) หมออาร์ท กับหมออีกคนจำชื่อไม่ได้แล้ว ขอยืมฟิล์มเอ็กซเรย์ที่เอามาจากพยาไทฯ เพื่อเอาไปเป็นกรณีศึกษา เพราะหมอก็ยังงงเหมือนเรา ว่าทำไมพ่อไม่มีอาการป่วยอะไรก่อนหน้านี้เลย อยู่ๆ พอมาถึงมือหมอก็เป็นระยะสุดท้าย และก็ทรมานอยู่แค่ 4 วัน ก็จากไปเลย อาจจะเป็นบุญของพ่อนะ ที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานนาน

ตอนนี้พ่อก็ยังอยู่ไอซียู อีก 1 ชั่วโมงแล้วจึงย้ายลงไปห้องเก็บศพตามกฎของ ร.พ. เราจะรับพ่อกลับได้ก็ พรุ่งนี้ แม่ฝากให้พ่อนอน ร.พ.อีกคืนนะ... พรุ่งนี้แม่จะเอาชุดเก่งไปแต่งตัวให้พ่อ
แม่กับโม่รีบกลับมาที่วัดทุ่งกราด (วัดศรีธรรมาราม) มาหาหลวงตา (หลวงตาไวพจน์ รักษาการเจ้าอาวาส) หลวงตาตกใจมาก เพราะไม่กี่วันนี้เองพ่อยังแกงสะแรมาให้หลวงตาฉัน นั่งคุยกับหลวงตาตั้งนาน..หลวงตาเมตตาต่อเรามาก สั่งทำความสะอาดศาลา จัดการเรื่องพิธีกรรมต่างๆ ทั้งหมด รวมถึงติดต่อเรื่องอาหาร และดอกไม้ให้ด้วย

เพื่อนๆ โม่มาที่บ้านช่วยเลือกรูปพ่อและเอารูปไปอัด เก็บข้าวของพ่อลงกล่อง นอนค้างอยู่เป็นเพื่อนด้วย..หลายคน หลายคนถามว่าทำไมแม่ไม่นำร่างพ่อไปบำเพ็ญกุศลที่เชียงใหม่..

เหตุที่แม่ไม่เอาพ่อกลับไปทำบุญที่เชียงใหม่ เพราะ
1. พ่อตั้งใจมา และอยากมามากๆ ที่จะมาอยู่กับโม่ เมื่อชีวิตพ่อมาสิ้นสุดที่นี่จะขับไสไล่ส่งพ่อไปได้อย่างไร
2. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงมาก การขออนุญาตเอาศพข้ามจังหวัดยุ่งยาก คิดดูนะ พ่อต้องนอนทรมานตากแดดตากลมไปอีกอย่างน้อย 12 ชั่วโมง 834 กิโล.. พ่อถึงจะได้นอนอย่างสงบ

ไว้ครบร้อยวันค่อยกลับบ้านเรานะ...พ่อนะ

ครบ 100 วัน วันที่ 23 เมษายน 2552 แม่จะทำกับข้าวอร่อยๆ มาให้พ่อกินกับหลวงตาที่วัด ทุ่งกราดก่อน ตอนเย็นๆสัก 5 โมง เรา( หมายถึง โกศกระดูกพ่อ, แม่, โม่ และเจ้าอ้วน ลูกสุดท้องของพ่อ) จะเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อเตรียมทำบุญให้พ่อ ในวันที่ 25 เมษายนนี้............

ตอนนี้หลานตาอยู่ในท้องลูกเมได้ 5 เดือนกับ 2 วัน ของขวัญวันพ่อเมื่อ 5 ธันวาคม ปีที่แล้วไงจ๊ะ เราเคยพูดว่าจะช่วยกันเลี้ยงหลาน สองคนตายาย วันนี้พ่อก็มาจากไป ทิ้งให้แม่เป็นคุณยายคนเดียว

โอเค. แล้วแม่จะเขียนถึงพ่ออีก...

รักพ่อ
10/3/2552

2 ความคิดเห็น:

  1. กลับมาอ่านเมื่อไหร่ ก็เรียกน้ำตาได้อยู่เสมอ...
    23-10-56

    ตอบลบ
  2. อ่านจบอีกรอบ...
    เรียกน้ำตาได้อีก 😢😢

    ตอบลบ