วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บางพัฒนาของการเด็ก ที่(หลายคน)ควรรู้ ( ตอนที่4 )




การไม่ถ่ายทุกวัน
ภายหลังคลอด 4 สัปดาห์ น้ำนมแม่ จะเป็นน้ำนมแท้ ที่ไม่มีนมน้ำเลืองเจือปน (transitional milk) หากทารก ยังคง ได้นมแม่ต่อไป ทารกอาจไม่ถ่ายอุจจาระทุกวัน อาจถ่ายวันเว้นวัน ผู้เขียนเคยพบ ทารกหนึ่งราย ถ่ายทุก 12 วัน โดยไม่มีอาการท้องอืด และอึดอัด ไม่อาเจียน อุจจาระออกมาเป็นก้อน เหนียวคล้ายยาสีฟันที่ถูกบีบ ออกจากหลอด ทารกที่ได้รับนมแม่ ไม่ถ่ายทุกวัน เกิดจากน้ำนมแม่ย่อยง่าย ส่วนประกอบของ น้ำนมแม่จึงถูกดูดซึม โดยลำไส้ เพื่อใช้ในการเติบโต ทำให้เหลือกาก ที่กลายเป็น อุจจาระน้อย ท้องผูก ทางการแพทย์ตัดสิน จากความแข็งของอุจจาระ ไม่ได้ดูที่ความถี่ของการถ่าย ท้องผูก หมายถึง การถ่ายอุจจาระ เป็นก้อนแข็งทั้งกอง ท้องผูกพบบ่อย ในทารกที่เลี้ยงนมผสม ชงนมไม่ถูกสัดส่วน อาจจางไป หรือข้นไป หรือใช้นมที่ไม่เหมาะกับวัยโดยให้ นมผงสำหรับเด็กโต
ร้องเวลาถ่ายปัสสาวะ
เมื่ออายุใกล้หนึ่งเดือน ทารกบางรายเริ่มรับรู้ ความรู้สึกปวดปัสสาวะ ทำให้ทารกร้อง เหมือนมีการ เจ็บปวด ก่อนถ่ายปัสสาวะ ภาวะนี้เป็นเฉพาะเวลา ที่ทารกถ่ายปัสสาวะขณะตื่น หากถ่ายปัสสาวะขณะนอน หลับทารกจะไม่ร้อง ทารกจะไม่มีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นหยด ๆ หรือเบ่ง อาการนี้จะหายเอง ภายใน 1 เดือน
ตัวเหลือง
ทารกที่ได้รับนมแม่ มีโอกาสเกิดตัวเหลืองได้ 2 ลักษณะ
1. breastfeeding Jaundice พบใน 2-4 วันหลังคลอด เกิดจาก การได้ รับนมแม่ไม่พอ เพราะจำกัดจำนวนครั้ง ของการดูด ร่วมกับการให้ดูดน้ำเปล่า หรือน้ำกลูโคล การป้องกันภาวะนี้คือ ให้ทารกอยู่กับมารดาตลอดเวลา (rooming-in หรือ bed-in ) ให้ดูดนมแม่บ่อย (มากกว่า 8 มื้อ/วัน) งดน้ำเปล่าหรือน้ำกลูโคล
2. breastmilk jaundice ซึ่งเริ่มปรากฏ ปลายสัปดาห์แรก (4-7 วัน ) บิลิรูบิน สูงสุดได้ถึง 10-30 มก./ดล. ใน สัปดาห์ที่2-3 หลังคลอด เมื่อให้นมแม่ ต่อไปจะค่อย ๆ ลดลง จนอยู่ในเกณฑ์ปรกติ เมื่ออายุ 3-12 สัปดาห์ กลไกลการเกิด breastmilk jaundice ยังไม่ทราบ แน่นอน การแยกภาวะนี้จากภาวะเหลือง ที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่สำคัญคือ โรคฮัยโปไธรอยด์แต่กำเนิด ทารกมีอาการ นอนเก่ง ร้องน้อย ต้องปลุก เพื่อให้นม ดูดนมได้ ไม่ดี และช้ามีผลให้ น้ำหนักเพิ่มน้อย ลิ้นโต ซึ่งอาจทำให้ หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดัง อาจมีการ คัดจมูก ท้องผูก ท้องโตกว่าปกติ มีไส้เลื่อน ที่สะดือ ผิวหนังเย็น และลาย คล้าย ร่างแห วัดอุณหภูมิกายได้ ต่ำกว่าปรกติ (มักต่ำกว่า 35 ซ ) อาจมีบวมที่ อวัยวะเพศ และแขนขา ภาวะฮัยโปไธรอยด์ ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ทารก ปัญญาอ่อน หากเป็น breastmilk jaundice ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใด ๆ ผู้เขียนเคยพบมารดาที่
ที่ลูกมีภาวะเหลืองจาก breastmilk jaundice และได้รับคำแนะนำว่า เกิดจากน้ำนม แม่เป็นพิษ ทำให้แม่ตกใจ และงดนมแม่ทันที หรือบอกให้ป้อนน้ำทารกมาก ๆ หรือ นำทารกตากแดดตอนเช้า ๆ
ผิวหนังลอก (Desquamation หรือ Peeling of the skin )
ขบวนการสร้าง Keratin ของผิวหนัง แสดงถึงภาวะการเจริญเต็มที่ (muturity) ของผิวหนัง โดย ทารกในครรภ์ ต้องมีภาวะโภชนาการปกติ เมื่อขบวนการสร้างเจริญเต็มที่แล้ว และทารก ในครรภ์มี ภาวะโภชนาการปรกติจากรก ทำหน้าที่ได้อย่างปรกติ ผิวหนังจะมีการลอก ปรกติ ผิวหนังของทารก ครบกำหนดใน 1-2 วันแรกจะยังไม่ลอก ภายหลังอายุ 24-28 ชั่วโมง จึงเริ่มปรากฏ มักพบที่มือ และเท้า ผิวหนังที่ลอก จะหายไปในเวลา 2-3 วัน โดยไม่ต้องให้ การรักษาใดๆ ในทารกเกิดก่อนกำหนด ผิวหนังจะลอกช้ากว่า โดยจะปรากฏเมื่อ 2-3 สัปดาห์ หลังคลอด และอาจลอกมาก ในทารกอายุครรภ์น้อย มาก ๆ การมีผิวหนังลอก เมื่อคลอดออก มาทันที พบในทารกครรภ์เกินกำหนดที่มี dysmaturity เนื่องจาก สมรรถภาพ การทำงาน ของรก เสื่อมลง และทารกที่ขาดออกซิเจนชนิด acute ขณะอยู่ ในมดลูก
ปานแดงชนิดเรียบ (Macular hemangiomas)
ปานแดง ที่เปลือกตาบน หน้าผาก และท้ายทอย พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของทารก แรกเกิด ปานชนิดนี้ จะมีขอบเขต ไม่ชัดเจน และจะแดงขึ้น เวลาทารกร้อง ปานแดงที่ เปลือกตา มักหายไป เมื่อทารก มีอายุหนึ่งปี ปานแดงที่หน้าผาก มักพบร่วมกับ ปานแดง ที่ท้ายทอยและมีชื่อว่าเฉพาะว่า stork mark ปานแดงที่หน้าผาก มีรูปร่างเป็น สามเหลี่ยม โดยมีฐานอยู่ที่ชายผม และมุมชี้ไปทางจมูก stork mark ปรากฏนานกว่าหนึ่งปี และอาจคง อยู่ให้เห็น ในเด็กโต หรือผู้ใหญ่เป็นครั้งคราวเวลาโกรธ
ที่เปลือกตา หน้าผาก ท้ายทอย เราพบกันได้บ่อยๆ มักจะเห็นชัดเจนเมื่อลูกร้อง ปานพวกนี้จะหายเองเมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ
Traumatic cyanosis
เป็นภาวะเขียวคล้ำที่ใบหน้า เกิดจากการมีเลือดคั่ง และ มีจุดห้อเลือด (petechiae) จำนวนมาก เกิดจากการถูกบีบรัด โดย การคลอดตามธรรมชาติ หรือจากสายสะดือพันคอ จุดห้อเลือดมัก หายอย่างรวดเร็วใน 2-3 วัน
ผิวหนังลายเหมือนร่างแห (Cutis marmorata)
ผิวหนังมีลวดลาย เหมือนร่างแห (reticulation หรือ netlikepattern) หรือ เหมือนลายหินอ่อน (marbling ) เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด ฝอย (capillaries) และ หลอดเลือดดำย่อย (venules) สาเหตุของ ภาวะนี้ เกิดจากความไม่สมบูรณ์ ในการทำงาน ของศูนย์ควบคุมหลอด เลือด (vasomotor center )
นอกจากพบในทารกแรกเกิด ที่ปรกติแล้ว ยังพบในทารก ที่อยู่ในที่ ๆ มีอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม เย็น หรือ ร้อนไป และทารกที่มีการกำซาบของผิวหนัง (skin perfusion ) ลดลงจากหัวใจ ทำงานผิดปรกติ หรือ ช็อคจากหัวใจ หรือการติดเชื้อ
ภาวะเขียวที่มือและเท้า (Acrocyanosis หรือ Peripheral cyanosis)
ภาวะเขียวที่มือ และที่เท้าพบได้บ่อยในทารก 24-48 ชั่วโมงแรก หลังคลอด เกิดจากการ ไหลเวียนเลือดที่มือ และเท้าช้าลง เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว จะสกัดออกซิเจนจาก oxygenated hemoglobin เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นผลให้มี Reduced hemoglobin เพิ่มขึ้น ภาวะนี้อาจพบในทารก ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็น ฉะนั้น หากเห็นภาวะนี้ ให้ระลึกเสมอว่า ทารก อาจอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็นไป และหรืออาจมีภาวะอุณหภูมิกายต่ำ
Subconjunctival hemorrhage
เลือดออกที่ตาขาว (sclera) หรือรอบๆ แก้วตา (cornea) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย และหายเอง ภายใน2-3 สัปดาห์
Milia หรือ Epidermal inclusion cyst
ภาวะนี้ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนจากพื้นผิว (papule) มีสีนวลหรือสีขาวขนาด 1 มม.พบที่แก้ม ดั้งจมูก หน้าผาก nasolabialfolds เพดานแข็ง เหงือก หัวนม และปลายอวัยวะเพศ ของทารก เพศชาย ภาวะนี้พบร้อยละ 40 ของทารกครบกำหนด มักแตก และหายไปเมื่ออายุ 2-3 สัปดาห์ หรือ อยู่ได้นานถึง 2 เดือน
ตุ่มขาวในปาก
ที่กลางเพดานปากของทารกแรกเกิด อาจมีเม็ดสีขาวขนาดเท่า หัวเข็มหมุด (เส้นผ่าศูนย์ กลาง 1มม.) เรียกว่า epithelial pearl หรือ Epstein pearl
ซึ่งเป็นของปรกติ ในทารกแรก เกิด อาจมีจำนวนมาก น้อยต่างกัน ตุ่มเล็ก ๆ นี้ไม่ทำให้ ทารกไม่ดูดนม และจะหลุดไปเอง อาจพบตุ่มขาว ลักษณะนี้ที่เหงือก ซึ่งเรียกชื่อต่างกันว่า Bohn nodule ที่หัวนม และปลาย อวัยวะเพศชาย ซึ่งเรียกว่า epidermal inclusion cyst คนสูงอายุเรียก สิ่งใดที่มีสีขาวในปาก ของทารก ว่า หละ และเชื่อว่าทำให้ทารกไม่ดูดนม และ ต้องรักษา หากเป็น epithelial pearl จะให้การ รักษา โดยการขยี้ หรือบ่งออก โดยใช้นิ้ว หรือ เข็มที่ไม่สะอาด ซึ่งอาจทำให้เกิดการ ติดเชื้อ หากเป็นเชื้อรา (oralmoniliasis ) มักเชื่อว่า ต้องใช้ผ้าอ้อม ที่เปียกปัสสาวะของ ทารกเช็ด
ลิ้นขาว(White tongue)
ลิ้นขาว พบได้ในทารกแรกเกิด โดยปรากฏสีขาวกระจายเท่า ๆ กัน บริเวณกลางลิ้น ซึ่งหาย เอง เมื่อทารกมีอายุมากขึ้น
จึงไม่จำเป็นต้องให้ การรักษาใด ๆ ผู้สูงอายุมักแนะนำให้ทา 1 % gentian violet การวินิจฉัยแยกโรคจากเชื้อรา (moniliasis ) พบมีแผ่นสีขาว (white patch) เป็นหย่อม ๆ ที่ลิ้น และพบร่วมกับที่เพดานปาก กระพุ้งแก้ม หรือที่ริมฝีปากด้วย
Sebaceous gland hyperplasia
เป็นจุดขนาดเล็กกว่า 0.5 มม. มีสีนวลหรือขาว พบที่จมูก ริมฝีปาก และบริเวณแก้ม การคลำบริเวณผิวหนังที่เป็น จะพบ ว่าเรียบ ภาวะนี้พบใน ทารกครบกำหนด เป็นส่วนใหญ่ เกิดจาก การงอก เกินของต่อมไขมัน (hyperplastic sebaceous gland) จะมีขนาดเล็กลง และหายไป ภายหลังคลอด 1-2 สัปดาห์
ริมฝีปากแห้งและลอกเป็นแผ่น
ขอบริมฝีปากของทารก อาจมีเม็ดพอง ขนาดเส้นผ่าศุนย์กลาง ประมาณ 5 - 8 มม. อาจพบตลอดขอบริมฝีปากบน หรือ ล่าง หรือ พบ เฉพาะที่กลางริมฝีปากบน เม็ดนี้จะแห้งและลอกหลุด เป็นแผ่นแล้วขึ้นมา ใหม่ เม็ดพองชนิดนี้มีชื่อว่า sucking blister
Miliaria
ภาวะนี้เกิดจากการคั่งของเหงื่อ เนื่องจากมี keratin อุดท่อ ของต่อมเหงื่อ และทารกอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ร้อน และความชื้น สูง ภาวะนี้จะหายไป เมื่อจัดให้ทารกอยู่ในที่เย็น Miliaria ที่พบมี 3 ลักษณะคือ
ผดแดง (Miliaria rubra ) เป็นตุ่มนูนสีแดง ที่มีขนาดเล็ก อยู่เป็นกลุ่ม พบในทารก ที่อยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ร้อน และมีความ ชื้นสูง มักพบผดแดงในทารกที่มีอายุมากกว่า 1 สัปดาห์

มีต่ออีกค่ะ

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บางพัฒนาของการเด็ก ที่(หลายคน)ควรรู้ ( ตอนที่ 3 )




การทำความสะอาดผ้าอ้อม
เพื่อป้องกันความสกปรกและกลิ่นอับเมื่อถอดออกจากตัวทารกปฏิบัติดังนี้
1. ผ้าอ้อมเปื้อนอุจจาระ ควรใช้น้ำธรรมดาลาดผ้าอ้อม เพื่อให้เศษอุจจาระหลุดออก แล้วแช่ไว้ในน้ำธรรมดา
ผสมยาฆ่าเชื้อโรคก่อนนำไปซัก
2. ผ้าอ้อมเปื้อนปัสสาวะ ควรขยำในน้ำธรรมดา 1 ครั้ง แล้วแช่ไว้ในน้ำธรรมดาที่ผสมยาฆ่าเชื้อโรคก่อนนำไปซัก
จะทำให้ผ้าอ้อมมีกลิ่นสะอาด มั่นใจในความสะอาดหลังซัก

การสังเกตอุจจาระ ปัสสาว
- ใน 2 - 3 วันแรกหลังคลอด อุจจาระจะเป็นสีเทาดำตามปกติ (เรียกว่า ขี้เทา)
- ทารกที่ได้รับนมมารดา อุจจาระจะเหลวและมักจะถ่ายเสมอหลังให้นม
- ทารกที่ได้รับนมผสม อุจจาระจะแข็งและมีกากมากว่าทารกที่ได้รับนมแม่
- ถ้าทารกถ่ายอุจจาระเหลว 6 - 10 ครั้งต่อ 1 วัน ถือว่าผิดปกติ
- ทารกปกติควรปัสสาวะ 6 - 10 ครั้งต่อ 1 วัน ถ้าต่ำกว่าควรให้น้ำมาก ๆ
การนอน
2 - 3 วันหลังคลอด ทารกจะหลับนานและตื่นเฉพาะเวลากินนม (ทารกปกติจะหลับ 12 - 16 ชั่วโมงต่อ 1 วัน)
หลังจาก 3 วัน ทารกจะมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น
การร้อง
การร้องของทารกแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ส่วนมากจะร้องเมื่อมีความต้องการ เช่น ต้องการนม ต้องการ ความอบอุ่น

การมาตรวจหลังคลอด
มารดา 4 สัปดาห์หลังคลอดจะมาตรวจเพื่อว่าร่างกายกลับคืนสภาพเดิมก่อนมีครรภ์ ตรวจมะเร็งและแนะนำ
เรื่องการคุมกำเนิดทารก 8 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อดูความเจริญเติบโตและความผิดปกติพร่องทั้งให้ภูมิคุ้มกันโรค

ภาวะปกติในทารกแรกเกิด
ทารกแรกเกิด หมายถึง ทารกอายุ 4 สัปดาห์หลังคลอด เป็นวัยที่มีภาวะ หรือสิ่งปรกติที่ ไม่พบในวัยอื่น ภาวะหรือสิ่งปรกตินี้ อาจทำให้พ่อแม่ วิตกกังวลได้บ่อยครั้ง ที่พ่อแม่ พาทารก ไปพบบุคลากร ทางการแพทย์ ซึ่งก็ไม่ทราบว่า เป็นภาวะปรกติ และได้รับคำแนะนำ หรือการ รักษาที่ไม่จำเป็น หรือรับตัวไว้ รักษาในโรงพยาบาล หรือหาหยูกยามารักษาเอง ซึ่งอาจก่อ อันตราย แก่ทารกได้ ภาวะปรกติเหล่านี้ ไม่ต้อง ให้การรักษาใด ๆ ภาวะปรกติ ที่พบได้ใน ทารกแรกเกิดได้แก่สิ่งต่อไปนี้
การสะดุ้งหรือผวา (Moro reflex)
การสะดุ้ง หรือการผวา เวลามีเสียงดัง หรือเวลาสัมผัสทารก เป็นสิ่งที่ทารกทุกคนต้องมี เพราะแสดง ถึงระบบประสาทที่ปรกติ และเป็นการทดสอบ อย่างหยาบ ๆ ว่าทารกได้ยินเสียง ทารกตอบสนองโดย การยกแขน และยกขา แบมือ และกางแขนออก แล้วโอบแขนเข้าหากัน การตอบสนอง แบบนี้พบเมื่อทารก หลับสนิท (quiet sleep) การผวา พบได้จนถึง อายุ 6 เดือน
การกระตุก (Twitching)
หากทารกหลับ ในระดับที่ลูกตามีการกรอก (rapid eye movement) ทารกมีกระตุก เล็กน้อย ที่แขน หรือที่ขา เวลาตื่นไม่มีกระตุก ผู้ใหญ่บางครั้งก็มี การกระตุก ก่อนรู้สึกตัวตื่น เช่นเดียวกัน พ่อแม่มักพา ทารกมาปรึกษา โดยบอกว่าลูกชัก หากบุคลากรทางการแพทย์ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ทารกมักถูกรับ ไว้ในโรงพยาบาล
การบิดตัว
ทารกครบกำหนด มีการเคลื่อนไหว เวลาตื่นนอนคล้ายผู้ใหญ่บิดขี้เกียจ ทารกยกแขนเหนือ ศีรษะ งอ ข้อตะโพก และข้อเข่า และบิดลำตัว ลักษณะเคลื่อนไหวแบบนี้ พบในทารกที่ปรกติ และอาจพบมาก ในทารกบางคน อาจบิดตัวจนหน้าแดง

การสะอึก
การสะอึก อาจพบภายหลังดูดนม เนื่องจากการทำงาน ของกะบังลมยังไม่ปรกติ หรือส่วน ยอดของ กระเพาะอาหาร ที่ขยายตัวจากน้ำนม และลมที่กลืนลงกระเพาะ สัมผัสกะบังลม หากทำการไล่ลม โดยจับทารก นั่งหรืออุ้มพาดบ่าสัก 5-10 นาที ภายหลัง ทารกดูดนมจนอิ่ม แล้ว ยังมีอาการสะอึกอีก ถือว่าเกิดจากกะบังลม ทำงานไม่ปรกติ ซึ่งไม่ต้องการรักษาใด ๆ
พบได้หลังการดูดนม เพราะการทำงานของกะบังลมไม่ปกติ เนื่องจากส่วนยอดของกระเพาะอาหารที่ขยายตัวจากการกลืนลมและนมลงไปในกระเพาะ ยืดขึ้นไปสัมผัสกะบังลมกระตุ้นให้กะบังลมกระตุก เกิดการสะอึก ช่วยลูกได้ ถ้ามีการสะอึกก็ให้ลูกดูดนมหรือน้ำ อาการดังกล่าวจะหายไป เมื่อทารกอายุมากขึ้นก็มักจะไม่สะอึกแล้วค่ะ
การแหวะนม
หูรูด กระเพาะอาหาร ของทารกแรกเกิด ยังทำงานได้ไม่ดี ทำให้รูดปิดไม่สนิท มีผลให้ ทารก แหวะนม เล็กๆ น้อย ๆ หลังมื้อนม และอาจออกมาทางจมูก และปาก น้ำนมที่ออกมา อาจมีลักษณะ เป็นลิ่ม คล้ายเต้าหู้ เนื่องจากถูกกับน้ำย่อย ในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นขั้นตอน ของการย่อย พ่อแม่เข้าใจผิดว่า น้ำนมไม่ย่อย และนมที่ให้ลูกไม่ดี การแก้ไขการแหวะนม คือการไล่ลม ร่วมกับการจัดให้ ทารกนอน ศีรษะสูง และตะแคงขวา หลังดูดนม ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ท่านอนดังกล่าว หูรูดของ กระเพาะอาหาร จะอยู่สูง ทำให้น้ำนมไหลย้อนแรงดึงดูด โลก ไม่ได้
ทารกบางคน ได้รับการป้อนนม โดยปล่อยให้นอนราบ แล้วใช้ผ้า หนุนขวดนม โดยเกิดจาก ความเชื่อว่า หากอุ้มทารก และถือขวดนมให้ จะทำให้ทารก ติดมือ หรืออาจเพราะ ผู้ดูแล ไม่มีเวลา การปฏิบัติเช่นนั้น ทำให้น้ำนม ไม่ท่วมจุกนม เวลาทารก ดูดนม จะกลืนน้ำนม และลม เมื่ออิ่มแล้ว ทารกจะเรอ และแหวะ น้ำนมออกมาด้วย หากการแหวะนม เกิดขณะที่ ทารกนอนราบ ทารกอาจสูดสำลักนม เข้าปอดได้ การป้อนนม ที่ถูกต้องจะต้องอุ้มทารก ให้อยู่ในท่าครึ่งนั่ง ครึ่งนอนเสมอ และถือขวดนม ให้น้ำนมท่วมจุก นมตลอดเวลา ภายหลัง ดูดนมหมดแล้ว ต้องจับทารกนั่ง หรืออุ้มพาดบ่า เพื่อไล่ลม
ต้องแยกจากการอาเจียนเพราะการแหวะนม ลูกจะแหวะมาเล็กน้อยหลังมื้อนม อาจมีลักษณะเละๆ คล้ายเต้าหู้เพราะนมถูกกับน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร แต่ถ้าเป็นการอาเจียนจะอาเจียนนมจำนวนมากและมักพุ่งแรง การแหวะนมเกิดขึ้นเพราะหูรูดของกระเพาะอาหารของเด็กทารกแรกเกิดยังปิดไม่สนิท ช่วยลูกได้ เราควรอุ้มลูกดูดนมในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน ถ้าเป็นนมขวดต้องให้น้ำนมท่วมขวดนมตลอดเวลา เมื่อดูดนมแล้วต้องไล่ลมทุกครั้ง อาจให้ลูกนอนหัวสูงและตะแคงขวาหลังดูดนมประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะท่านี้จะทำให้หูรูดกระเพาะอาหารอยู่สูง จะแหวะยากขึ้น
ทารกไม่ดูดน้ำ
น้ำนมมารดา มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 88% นมผงก่อนที่จะป้อนทารก ก็ต้องผสมน้ำ ในอัตราส่วน ที่พอเหมาะ เพื่อให้มีส่วนประกอบ ใกล้เคียงกับนมมารดา ทารกจึงได้น้ำ อย่างเพียงพอ จากน้ำนม และไม่ จำเป็นต้องดูดน้ำเปล่าเพิ่มเติม เพื่อแก้หิวน้ำ โดยเฉพาะ ทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่ การดูดน้ำ หรือการ ป้อนน้ำ เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ตามคำแนะนำ ขององค์การอนามัยโลก ที่ว่าทารกควรได้รับ นมแม่อย่างเดียว (exclu sive breastfeeding ) 4-6 เดือน หากพ่อแม่ไม่เข้าใจจุดนี้ จะวิตกกังวล ที่ทารกไม่ดูดน้ำ เวลาให้น้ำเปล่า และแก้โดย ผสมกลูโคส หรือน้ำผึ้ง เพื่อให้ทารกดูดน้ำ อันตรายของการ ผสมกลูโคส หรือน้ำผึ้ง คืออาจทำ ให้ทารกดูดนม น้อยลง เป็นเหตุให้น้ำหนักตัวขึ้น ช้ากว่าปรกติ และเกิด ท้องร่วง เพราะน้ำที่ เจือกลูโคล หรือน้ำผึ้ง อาจมี เชื้อโรคปนเปื้อน นอกจากนี้ การให้ทารกดูดน้ำเพิ่ม ไม่ได้ช่วย แก้ปัญหาทารกเหลือง แต่กลับทำให้ทารกเหลือง มากขึ้นจากการได้น้ำนมไม่พอ
เป็นคำถามที่พบบ่อย ที่จริงแล้วลูกไม่จำเป็นต้องดูดน้ำก็ได้ เพราะในนมมีน้ำมากพอ มีเกิน 80% ไม่ว่าจะเป็นนมแม่หรือนมขวด ถ้าดูดนมพอจะไม่มีการขาดน้ำแน่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่บางคนเติมกลูโคสหรือผสมน้ำผึ้งให้ลูกดูด เรื่องนี้ขอห้ามเลยนะคะ เพราะอาจทำให้ลูกดูดนมน้อยลงเนื่องจากติดน้ำหวานและยังอาจทำให้เด็กท้องเสีย เนื่องจากมีเชื้อโรคปนเปื้อน ช่วยลูกได้ เราอาจหยอดน้ำเพื่อชะคราบน้ำที่อยู่ในปากลูกหลังการดูดนมเพียงเล็กน้อยก็พอ การถ่ายอุจจาระบ่อย
ทารกแรกเกิด ที่เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว อาจถ่ายอุจจาระกะปริดกะปรอย ขณะดูดนมแม่ บิดตัว หรือผายลม จะมีอุจจาระเล็ด ออกมาด้วย ทำให้เข้าใจผิดว่า ทารกท้องเดิน เพราะอาจ นับการถ่าย อุจจาระได้ถึง 10-20 ครั้งต่อวัน อุจจาระมีสีเหลืองเข้มคล้ายสีทองคำใหม่ ๆ และ มีกลิ่นเปรี้ยว สาเหตุเกิด จากนมแม่มีนมน้ำเหลือง (colostrum) เจือปน ซึ่งช่วยระบายท้อง นมน้ำเหลือง จะหมดไปเหลือแต่ น้ำนมแม่แท้เมื่อ เข้าสู่ปลายสัปดาห์ที่ 4 หลังคลอด รักษาโดย เปลี่ยนจากนมแม่ เป็นนมผง บางรายได้ รับตัวไว้ในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางหลอดเลือด และงดนมแม่
บางคนเข้าใจว่าลูกท้องเสีย ที่จริงแล้วนมแม่มักทำให้ลูกถ่ายกะปริดกะปรอย มีอุจจาระเละๆ แต่เป็นสีเหลืองทอง อาจจะถ่ายวันละ 8-10 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นปกติค่ะ ลูกสามารถถ่ายได้บ่อยเท่าที่กิน พอปากดูด ก้นก็ถ่ายได้เลย แต่หลังจาก 4 สัปดาห์ผ่านไปลูกจะถ่ายน้อยลง ลูกไม่ถ่ายทุกวัน เป็นปัญหาต่อเนื่องเลยล่ะค่ะ ทั้งๆ ที่เดือนก่อนยังถ่ายบ่อย อยู่ดีๆ เดือนนี้กลับถ่ายน้อยลง โดยเฉพาะทารกที่กินนมแม่ เพราะนมแม่ย่อยง่าย กากน้อย และลูกไม่มีอาการอึดอัดจะสบายดี เวลาถ่ายแล้วไม่แข็ง แต่เป็นหลอด เหนียวๆ คล้ายยาสีฟัน เราก็ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวลูกก็จะปรับตัวได้ ต่อไปถ้ากินอาหารเสริมมีกากมากขึ้น การขับถ่ายก็บ่อยขึ้น ที่จะเรียกว่า “ท้องผูก” นั้น ในทางการแพทย์อุจจาระต้องเป็นก้อนแข็งเลยค่ะ แม้ว่าถ่ายทุกวัน แต่ถ้าถ่ายแข็งก็ถือว่าท้องผูกค่ะ

มีตอนต่อไปนะคะ

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

รูปโตโต้


























โตโต้...จะจากอ้อมอกแม่แล้ว















หลังจากที่คุณยายกอดรัดฟัดเหวี่ยง ปลุกปล้ำมาเป็นเวลาสองเดือนกว่า ก็ประสบชัยชนะ โตโต้ติดยายแล้ว และ น้ำนมแม่หมดพอดี ...ฮ่าๆ หาคนเลี้ยงก็ไม่ได้ ไม่ถูกใจ ก็เลยเข้าทางยาย ยึดเสียเลย รอคอยวันนี้มานานแล้ว

ยายก็เลยชักแม่น้ำทั้งห้า หว่านล้อมว่าเพื่ออนาคตโตโต้ พ่อกับแม่ก็จะได้ไม่ห่วง คิดถึงก็ไปหาได้ ออนเอ็มก็เปิดกล้องดูกัน รับรองว่ายายจะเลี้ยงดูอย่างดี ชดเชยที่ตอนแม่โตโต้เล็กๆ ยายไม่ได้เลี้ยง ให้ป้าแอ๊ด(พี่สาวยายมล)กับยายสุดใจ(แม่ของยายมล)เลี้ยง

วันที่ 26กันยายนนี้ก็จะออกเดินทางไปอยู่กับยายที่บ้านชลฯ พ่อกับแม่โตโต้มาส่งด้วย แล้วก็กลับ เพราะแม่เค้าจะเริ่มทำงานวันที่ 5 ตุลา
ยายก็มีภาระ ที่จะต้องดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกให้ช่างที่มาต่อเติมบ้าน (ก็จะทำสถานที่เลี้ยงโตโต้นะแหละ)

พอข่าวว่าโตโต้จะถูกยายฉกตัวไปเลี้ยง แพร่ขยายออกไป พี่ป้าน้าอา พ่อแก่แม่เฒ่าก็พากันมาหาโตโต้ มีทวดบุญยวง ผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ยายชลเพื่อนของยายมล ยายอู้ด ทวดทรายนิล พี่ข้าวฟ่าง และอีกหลายคน ยายมลก็เลยจัดปาร์ตี้ัเลี้ยงส่งให้โตโต้เมื่อวันที่ 20 กันยาที่ผ่านมา

นึกๆ ก็สงสารพ่อกับแม่โตโต้ จะต้องทนคิดถึงลูก แต่ยังไงก็ตามถ้าไม่ให้ยายเอาโตโต้ไปเลี้ยง พ่อกับแม่ก็ต้องเหนื่อยอีกมาก ทั้งเหนื่อยตัว เหนื่อยกระเป๋า...

เราจะออกเดินทางบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 26 ถึงชลฯก็เช้ามืดวันอาทิตย์...
ขอไปทำลิสต์ก่อนนะว่าสมบัติของโตโต้มีอะไรบ้างที่จะเอาไป....เฉพาะของหมอนี่ก็ล้นรถแล้วกระมัง???

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

เชียงราย.....กว๊านพะเยาที่ไม่เปลี่ยนแปลง











อ่านหัวเรื่องแล้ว......... อย่าเพิ่งเข้าใจว่า สถานที่ที่เอ่ยถึงนั้นไม่ได้รับการพัฒนา....
เพียงแต่ คุณยายมลคิดว่า ไปเชียงรายกี่ครั้งๆ ไปกว๊านพะเยากี่หนๆ ความรู้สึกดีๆ ก็ยังมีไม่เสื่อมคลาย
แม้สถานที่ต่างๆ ถูกปลูกสร้างขึ้นมาแทนที่ของเดิม แต่บรรยากาศและมนต์เสน่ห์ของเชียงรายและกว๊านพะเยา
ก็ยังขลังเหมือนเดิมค่ะ
เมื่อวันที่ 8 เดือนสิงหาคม ไปกับพี่สาว และเหลน ก็น้องโบ น้องเบียร์ สองพี่น้องประจำบล็อกคุณยายมลไงคะ
แต่ลูกสาวเลี้ยงหลาน (ตอนนั้นโตโต้ได้ 25 วัน) ไปไหว้พระที่สามเหลี่ยมทองคำ ที่เชียงแสน แล้วก็ไปซื้อของที่แม่สาย
พอวันที่ 7 เดือนนี้ ลูกชายกับแฟนเค้าอยากไป เพราะไม่ได้เห็นนานแล้ว ก็เลยมาชวนแม่ไปด้วย
เราก็ไปกันที่เดิม วัดร่องขุ่น เชียงแสน แม่สาย ครวนี้เพิ่มกว๊านพะเยาขึ้นมาเพราะหนูเจี๊ยบ ว่าที่ลูกสะใภ้ยังไม่เคยไป
เราก็เลยมานั่งกินปลาเผาเกลือ กับเบียร์เย็นๆ
กลับถึงเชียงใหม่ ปาเข้าไปสามทุ่ม แต่ก็สนุก ไม่เบื่อเลยค่ะ
ศิลปะสวยๆ จากไอเดียของอาจารย์เฉลิมชัย ที่ทุ่มเทลงบนงานทุกชิ้นที่วัดร่องขุ่น ก็งามอ่อนโยนพริ้วไหวเหมือนภาพวาดทีเดียว
สินค้าที่มาจากประเทศจีน เข้ามาทางแม่สายก็ดูไม่แพงเท่าไหร่(ต้องรอบคอบในการเลือกหน่อยก็แล้วกัน)
ไว้จะมาคุยใหม่ค่ะ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ไม่่พ้นเรื่องของหนุ่มโตโต้





ก่อนอื่นขอบอกพี่ๆ น้องๆ ที่ติดตามอ่านก่อนนะคะ ว่าเรื่อง"บางพัฒนาการของเด็กฯ" ตอนต่อไปต้องขอเวลานานหน่อยค่ะ เพราะต้นฉบับอยู่ในคอมเครื่องที่บ้านชลบุรี วันนี้ก็กลัวจะถูกแซวว่า เปิดมาเมื่อไหร่ก็หน้าเดิม เลยต้องหาเรื่องมาลง แต่ไม่มีอะไรจะฮ็อตสำหรับคุณยายเท่าเรื่องคุณหลาน
ก็..จริงๆ นี่คะเด็กอะไร้ โตกว่าอายุ ณ วันนี้เค้าอายุได้ 46 วัน แต่หน้าตา พัฒนาการเค้าเมื่ออ่านตำราดู มันอยู่ที่ 2-3 เดือนโน่นเชียว
เช่น โตโต้สามารถมองตามคนที่เดินผ่านหน้าเขา สามารถยิ้มรับแม่ หรือ พ่อ หรือ ยายที่เข้ามาหาเขา เค้ายังสามารถดึงนิ้วมือแม่เข้าปาก
ดูโมบายที่แขวนอยู่และทำเสียงอ้อแอ้ได้แล้ว ลองดูรูปหนุ่มโตโต้กันหน่อยนะคะ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บางพัฒนาการของเด็ก ที่ (หลายคน) ควรรู้... (ตอนที่ 2)



ขอบคุณที่ติดตามสาระดีๆค่ะ....

ขวบแรกของลูก พ่อแม่ต้องใส่ใจ
เด็กน้อยเมื่อได้รับการใส่ใจดูแลด้วยความรัก ความใจใส่จากแม่พ่อย่อมเติบโตเป็นคนดี สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ จัดมหกรรมการเรียนรู้ของพ่อแม่มือใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพลูกน้อยขวบปีแรก "เฟิร์ท เยียร์ ออฟ ไลฟ์ แอท สมิติเวช แฟร์" (First Year of Life @ Samitivej Fair) โดยมีกิจกรรมต่างๆ ควบคู่กับการจัดเสวนาเรื่อง "เก่งด้วย ฉลาดได้ ตั้งแต่วัยขวบปีแรก" โดยมีแพทย์หญิงสุวิมล ชีวมงคล กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการนำศิลปะแขนงต่างๆ มาบำบัดร่วมให้ความรู้
แพทย์หญิงสุวิมลบอกว่า เด็กต้องการต้นแบบที่ดี พ่อแม่และคนรอบข้างสำคัญมาก เพราะเด็กอยู่ในวัยเรียนรู้จากการสังเกตสิ่งที่เห็นรอบตัว ภาษาที่พูดสื่อสารกับลูกควรเป็นภาษาที่ชัดเจนปกติ พูดความจริงเป็นเหตุเป็นผลกับเด็ก
"ในขวบปีแรกของเด็กฐานการกินเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันระหว่างพ่อแม่หรือคนเลี้ยงดูเด็กกับเด็ก สมมุติว่าเด็กบางคนไม่ทานตับ อาจหาไข่แดงมาให้ทาน เป็นการพัฒนาความสามารถในการกิน เด็กเคี้ยวอาหารได้ แม้ว่าฟันยังไม่ขึ้นและการให้อาหารเด็กนั้นก่อน 1 ขวบไม่ควรให้อาหารที่มีการปรุงรสชาติ"
ด้านแพทย์หญิงชนิกา ตู้จินดา ประธานโรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์ บอกต่อว่า ขวบปีแรกของเด็กเป็นสิ่งแรกในทุกสิ่งทุกอย่างที่จะพัฒนาให้เด็กเป็นเด็กดี ร่างกายแข็งแรง เดี๋ยวนี้เด็กเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทั้งไอคิวและอีคิว ซึ่งความใกล้ชิดของพ่อแม่สำคัญมาก และเด็กต้องมีภูมิต้านทานต่อโลกภายนอกด้วย
"มีการศึกษาชัดเจนว่าแม่ที่มีความเครียดตลอดการตั้งครรภ์เด็กออกมาจะเลี้ยงยาก บางทีเป็นโรคหอบหืดอารมณ์เด็กปั่นป่วนตามแม่ ดังนั้น ให้แม่ที่ตั้งครรภ์ทำอะไรที่สบายใจ นึกถึงแต่เรื่องดี เมื่อเด็กคลอดออกมาในขวบปีแรก ต้องกล่อมเกลาให้เขาเติบโตดี มีร่างกายดี จิตใจดีเป็นคนดี พ่อแม่คือ สิ่งที่ลูกรักที่สุดในชีวิต ขวบปีแรกเป็นการพัฒนาต้นทุนที่สำคัญของลูก หากครอบครัวแตกแยก คนที่ดูแลลูกจะใครก็ได้ที่มีสัญชาตญาณของความเป็นพ่อแม่ และรักเด็กที่สุด" เมื่อผ่านพ้นขวบปีแรก ขวบต่อๆ ไปก็ต้องให้ความสนใจเช่นกัน

วิธีการนำเต้านมมารดาเข้าปากทารก
1. ประคองศีรษะทารกเข้าใกล้เต้านม มารดาช้อนเต้านมรอไว้
2. มารดาประคองเต้านมให้หัวนมเตะริมฝีปากล่างของทารกเพื่อกระตุ้มให้ทารกคาบหัวนม
3. มารดาช้อนเต้านมให้หัวนมเข้าปากทารก
4. มารดาประคองศีรษะทารกเข้าหาเต้านม
การปฏิบัติตนระหว่างให้นมบุตร
- ควรสวมยกทรงไว้เสมอ (เพื่อลดความเจ็บปวด และการหย่อนยาน)
- ถ้าเจ็บปวดเต้านมใน 2 - 3 วันหลังคลอด (มารดาท้องแรก) เป็นการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง ให้ ประคบด้วยความเย็น สลับความรัอนเพื่อลดความเจ็บปวด และกระตุ้นให้น้ำนมไหล ด้วยการให้ทารกดูด นมเร็วที่สุด (ทันทีหลัง หลอด) และดูดบ่อย ๆ
- ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณเต้านมระหว่างเวลาให้นมทารก (ควรฟอกเฉพาะเช้าและเย็นเท่านั้น และล้างสบู่ ออกให้หมด)
- เวลาให้นมทารก มารดาควรให้ทารกคาบหัวนมไปจนถึงบริเวณบริเวณลานหัวนม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งน้ำนม
และเพื่อป้องกันหัวนมแตก นอกจากนั้นยังมีผลให้มดลูกเข้าอู่เร็ว และไม่ทำให้ทารกดูดลม เข้าทางมุมปากเพื่อป้องกันทารกท้องอืด
- ถ้ามีปัญหาหัวนมเจ็บ หรือแตก ควรใช้ครีมทาตามแพทย์สั่งและงดให้นมข้างนั้นจนกว่าจะหาย ระหว่าง งดให้นม
ควรบีบน้ำนมทิ้ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของน้ำนม เมื่อหายแล้วจะได้มีน้ำนมให้ทารก ตามปกติ
- ล้างมือและเช็ดหัวนมให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังให้นม เพื่อทำความสะอาดและเปิดช่องทางให้น้ำนมไหล
หลังให้นมทุกครั้งควรอุ้มลูกพาดบ่าเพื่อให้เรอ
- มารดาที่ให้นมทารกควรระมัดระวังเรื่องการรับประทานยา เมื่อเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์เพราะยาหลาย ชนิด
จะมีผลผ่านทาน้ำนมมารดาถึงทารกได้เช่น ยาดองเหล้า ยาจีน ยานอนหลับ ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้ อักเสบ) ต่าง ๆ ฯลฯ
- นอกจากยาแล้ว อาหารผักผลไม้บางอย่าง เช่น หัวหอม กะหล่ำปลี ฝรั่ง อาจทำให้ท้องอืด กลิ่นและ รส
ของน้ำนมเปลี่ยนไป ทำให้ทารกปฏิเสธน้ำนมมารดาอาหารหมักดองหรือมีสรจัดทำให้มารดาท้องเสีย

การบริบาลทารก การรักษาความสะอาด
- ผิวหนังบริเวณศีรษะและร่างกายโดยเฉพาะตามข้อพับของเด็กแรกคลอด จะพบว่ามีไขมันเกาะอยู่ ควร ใช้
สำลีสะอาดชุบน้ำมันมะกอกเช็ดเบา ๆไขมันจะค่อย ๆ ออกไปวันละน้อย จึงค่อยเช็ดตัวหรือสระผม อาบน้ำให้ทารก
(ให้อาบน้ำแบบแช่ได้ เมื่อสายสะดือหลุดแล้ว ซึ่งปกติสายสะดือจะหลุดประมาณ 7 วัน หลังคลอด)
วิธีจับทารก อาบน้ำมารดาควรใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับให้แน่นบริเวณใต้รักแร้ ทารก อ้อมไปถึงต้นแขน
เพื่อไม่ให้ทารกหลุดจากมือมารดา
- การดูแลสายสะดือทารก ควรทำความสะอาดโดยใช้สำลีพันปลายไม้หรือ Qtip ชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดจากโคนสะดือ
(บริเวณที่สะดือติดกับผิวหนังหน้าท้อง) มารดาควรล้างมือให้สะอาด แล้วจับเชือดที่ ผูกสายสะดือ เอียงไปทีละข้าง เพื่อเช็ดโคนสะดือมายังปลายสะดือ (จะเช็ดสะดือหลังเช็ดตัวทาแป้งหรือ ครีมแล้ว) ห้ามใช้แป้งโรยบนสะดือ เพราะจะเกิดการติดเชื้อจากความไม่สะอาดของแป้ง ถ้าทาครีมแล้ว ไม่ควรทาแป้งทับ
- มารดาควรสระผมให้ทารกได้วันละ 1 ครั้ง ก่อนสระควรใช้สำลีสะอาดชุบน้ำมันมะกอกเช็ดไขที่บริเวณ
ศีรษะ และด้านหลังใบหู เพื่อป้องกันการเป็นแผลที่เกิดจากการหมักหมมของไขมันเด็กโบราณเรียก “แผลชันนะตุ”
“ในรายที่เชือกผูกสายสะดือหลุดและมีเลือดไหลออกมาทางปลายสะดือ มารดาควรใช้เศษผ้าสะอาด
(ห้ามให้เชือก หรือด้ายพลาสติกที่มีความคม) ผูกสายสะดือเหนือบริเวณที่เคยผูก หรือบริเวณที่เคยผูก เพื่อให้เลือดหยุดและพามาโรงพยาบาล หรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน"

การให้ภูมิคุ้มกันโรค
มารดาควรพาทารกมาตรวจร่างกายและเริ่มให้ภูมิคุ้มกันโรค (โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ) เมื่อ ครบ 2 เดือน
เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจความเจริญเติบโตหรือความผิดปกติของทารก และวางแผนให้ภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งจะต้องให้หลายครั้ง
ตามกำหนดที่แพทย์วางแผนไว้ จึงจะได้ผลและมีความจำเป็นมากแก่ทารก (อาจพาทารกมาที่ โรงพยาบาล หรือ
ศูนย์อนามัยใกล้บ้านท่าน) เมื่อถึงกำหนดนัดถ้าทารกช่วยมีไข้ น้ำมูกไหล ต้องพาไปพบแพทย์เพื่อ รับการรักษาให้หาย จึงนำมาให้ภูมิคุ้มกันได้

อาการผิดปกติที่ต้องรับนำทารกส่งโรงพยาบาล
1. ทารกมีไข้สูงเกิน 38.4 อาศาเซลเซียส ระหว่างเดินทางมาพบแพทย์มารดาควรเช็ดตัวให้ด้วยน้ำธรรมดา
โดยเฉพาะบริเวณศรีษะควรวางกระเป๋าน้ำแข็งซึ่งอาจใช้ถุงพลาสติกเล็ก ๆ ใส่น้ำแข็งแล้วห่อผ้างวางที่ศรีษะเด็ก เพื่อป้องกันการชัก ถ้าทารกมีอุณหภูมิต่ำกว่า 36.1 อาศาเซลเซียส ควรให้ความอบอุ่นแล้วรับนำส่งแพทย์
2. ทารกมีอาเจียนพุ่งมากกว่า 1 ครั้ง มารดาต้องแยกให้ออกระหว่างอาเจียนกันสำรอก
การสำรอก จะเกิดเมื่อทารกได้รับน้ำนมหรือน้ำมากเกินความต้องการหรือเมื่อเปลี่ยนท่าของทารกเร็ว ๆ
หลังให้นมสิ่งที่ขับออกมา จะมีจำนวนน้อย
อาเจียน จะเกิดได้ตั้งแต่ทารกเริ่มได้น้ำนมหรือน้ำ และมีจำนวนมากว่าสำรอก ซึ่งมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ร้องกวนหรือผิดปกติ
ถ้าทารกอาเจียน ให้จับทารกนอนราบแล้วหันศรีษะไปข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลักอาเจียน
3. ทารกปฏิเสธการให้นมติด ๆ กันเกินกว่า 2 ครั้ง
4. ทารกง่วงซึมไม่เคลื่อนไหวแม้กระตุ้น
5. ทารกหน้าเขียวขณะให้นม ควรงดให้นม
6. ทารกไม่หายใจเกิด 15 วินาที

มีตอนที่ 3 อยู่นะคะ เร็วๆนี้ ขอไปทำธุระส่วนตัวก่อนค้า...

บางพัฒนาการของเด็ก ที่ (หลายคน) ควรรู้... (ตอนที่ 1)



บทความนี้คัดตัดตอนมาจากเอกสารชิ้นหนึ่ง (ไม่รู้ที่มา) หากเป็นของนักวิชาการท่านใดก็ขออนุญาตเผยแพร่เพื่อเป็นความรู้ สำหรับคนที่เป็นแม่ (เป็นยายด้วย...แหะๆ) หวังว่าคงได้รับอานิสงค์นี้โดยทั่วถึงนะคะ

พัฒนาการปกติ เดือนที่ 1
ในช่วงแรกนี้ เป็นการทำความรู้จักกัน หลังจากที่ได้แต่ส่งใจถึงกันมานาน ตลอด 9 เดือน คุณแม่ต้องปรับตัวพยายามอ่านใจลูก ว่าเขาเป็นอย่างไร ต้องการอะไร และลูกเองก็กำลังเรียนรู้ ที่จะตอบสนองกับคุณเช่นกัน
เมื่อกลับออกจาก ร.พ. มาอยู่ที่บ้าน คุณแม่บางคนอาจจะได้รับคำแนะนำ และความช่วยเหลือต่างๆมากมาย จากคนรอบข้าง ในการรับคำแนะนำต่างๆเหล่านี้ คุณแม่ต้องเข้าใจว่า เด็กแต่ละคนนั้น จะมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องการกิน การนอน และแม้แต่การร้องกวน ดังนั้นข้อแนะนำต่างๆ ที่ใช้ได้ดีกับเด็กคนหนึ่ง อาจจะดูเหมือนไม่ได้ผล เมื่อนำมาใช้กับเด็กอีกคนหนึ่ง คุณจึงควรต้องใช้ความช่างสังเกต และสัญชาติญาณของความเป็นแม่ ปรับเปลี่ยนการดูแลลูก ไปตามที่เห็นสมควร ร่วมกับการสอบถาม หาความรู้จากกุมารแพทย์ที่ดูแลลูกด้วย
การร้องไห้ เป็นวิธีเดียวที่ลูกน้อยของคุณถนัด และเป็นการพยายามสื่อสารกับคุณแม่ เพื่อที่จะบอกว่าเขากำลังต้องการอะไรบางอย่างจากคุณ อาจเป็นการป้อนนม การเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือการอุ้ม เพื่อให้เขารู้สึกอบอุ่นและสบายใจว่าจะได้รับการดูแลปกป้อง
คุณแม่ต้องพยายามสังเกตว่าเสียงร้องแต่ละแบบที่ต่างกันนั้น หมายถึงอะไร ในเวลาไม่นาน คุณแม่ก็จะเดาใจลูกได้ถูกว่าเสียงร้อง และท่าทางที่เขากำลังแสดงอยู่นี้ หมายความว่าอย่างไร และถ้าตอบสนองได้ถูกต้องลูกก็จะหยุดร้อง แต่ก็อาจจะมีบางครั้ง ที่ลูกอาจจะร้องกวนโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้คุณเริ่มมีความวิตกว่า จะเกิดอะไรผิดปกติกับลูก การตอบสนองโดยการอุ้มกล่อมเด็ก เพื่อให้เขาเกิดความสบายใจ และหยุดร้องอย่างเหมาะสมนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีกว่าการที่จะปล่อยให้ลูกร้องไปจนกว่าจะเหนื่อย จนหยุดร้องไปเอง โดยไม่ยอมตอบสนองต่อความต้องการของเขา (บางคนเข้าใจผิดว่า การปล่อยให้ร้องนานๆ เป็นการบริหารปอด หรือการอุ้มเวลาร้อง จะทำให้เด็กเคยตัว หรือติดมือ)
คุณอาจจะต้องลองพยายามหาท่าอุ้ม ท่าป้อนนม หรือการกล่อมเด็ก ที่คิดว่าจะทำให้เด็กสงบลงได้ และถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังเครียด และไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี ควรที่จะหาคนช่วย (เช่นคุณพ่อ, คุณยาย หรือพี่เลี้ยง) มาดูแลลูกสักพัก อย่างน้อยก็ให้คุณได้มีเวลาตั้งสติ และเริ่มมองหาวิธีอื่นที่จะช่วยลูกได้
สะดือของเด็กจะเริ่มแห้ง และหลุดไปเองในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ไม่ควรโรยแป้งลงในหลุมสะดือ แต่ควรใช้ 70% แอลกอฮอ หรือ เบตาดีน ทำความสะอาดสะดือที่กำลังจะหลุด โดยการหยอดลงไปที่หลุมสะดือหรือเช็ดลงไปให้ถึงฐานสะดือโดยรอบ วันละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหลุด การทำดังนี้จะไม่เกิดการเจ็บแสบและจะป้องกันการติดเชื้อได้ดี
การทานนมและการขับถ่ายในช่วงแรกๆนั้น ส่วนใหญ่เด็กจะตื่นมาทานนม และถ่ายค่อนข้างบ่อย ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเด็กเมื่อหิว เด็กยังไม่รู้จักเวลา ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน และมักจะถ่าย หลังการทานนมแทบทุกมื้อ เนื่องจากเป็นรีเฟลกซ์ (การทำงานของระบบประสาท ที่ไม่ต้องคอยคำสั่งจากสมอง) ที่ลำไส้จะเตรียมที่ไว้ สำหรับรับนมที่เพิ่งทานเข้าไปในกระเพาะ
เด็กหลายคน จะมีการสะอึกค่อนข้างมาก หลังการทานนม ซึ่งคุณแม่คงต้องใจเย็นๆอุ้มทำให้เรอ แล้วอาการสะอึกจะดีขึ้น นอกจากนี้หลายรายจะมีการแหวะนมเล็กน้อย เมื่อวางเด็กลงนอน ซึ่งถือว่าเป็นปกติ แต่ในรายที่มีการป้อนนมมากเกินไป (Overfeeding) ก็จะมีอาเจียนได้มาก หรือบางครั้งจะมีปัญหา รีฟลักซ์ คือการที่กระเพาะบีบตัว ขย้อนเอานมกลับออกมาทางปาก ที่เรียกว่า Gastro-esophageal reflux (GER) ซึ่งพบได้บ่อยในทารกคลอดก่อนกำหนด ถ้าลูกมีอาเจียนค่อนข้างบ่อยควรปรึกษาแพทย์
ในทารกแรกเกิดนั้นมีรีเฟลกซ์หลายอย่าง ที่เห็นกันได้ง่าย คือ โมโร่รีเฟลกซ์ (MORO Reflex) เมื่อเด็กร้องหรือตกใจ จะดูเหมือนทำท่าผวา มือเท้าสั่น, รีเฟลกซ์การเข้าหาหัวนม และดูดนม ( Rooting and sucking reflexes), เด็กบางคนจะยังมีรีเฟลกซ์การจาม (sneezing reflex) อยู่บ้าง และเช่นกัน บางครั้งจะเห็นลูกนอนอยู่เฉยๆ แต่ก็ยิ้มอย่างน่ารักได้ ที่ผู้ใหญ่เรียกว่า “ยิ้มกับแม่ซื้อ” ซึ่งก็เป็นรีเฟลกซ์อีกอย่างหนึ่งนั่นเอง
ในระยะนี้ ลูกจะเริ่มลืมตามองมากขึ้น ถ้าแสงในห้องไม่สว่างจ้าจนเกินไปนัก ประมาณว่าเด็กจะมองเห็นได้ดี ในช่วงระยะประมาณ 1 ฟุต ซึ่งก็คือ ระยะที่ลูกจะเห็นหน้าคุณแม่ ในขณะป้อนนมนั่นเอง แต่การแปลผลภาพที่เห็นนั้น จะยังต้องใช้การทำงานของสมองส่วนต่างๆ อีกหลายระดับ แต่ลูกจะมีสัญชาตญาณรู้ว่า คุณคือคุณแม่ จากประสาทสัมผัสพิเศษอื่นๆอีก คือ การได้กลิ่นกายของคุณแม่ เสียงคุณแม่ที่เขาคุ้น ตั้งแต่อยู่ในท้อง การสัมผัสทางผิวกายขณะที่คุณแม่ป้อนนมเขา (ซึ่งการให้นมแม่โดยการดูดจากเต้านมนั้น จะได้มีการสัมผัสทางกายและทางใจมากกว่าการป้อนโดยใช้นมขวด) สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกรู้ว่า คุณคือคุณแม่ ไม่ใช่พี่เลี้ยง หรือคุณยาย ที่กำลังอุ้มเขาอยู่
( โปรดติดตาม ตอนที่ 2 )

34 วันของโตโต้




มาคุยกัน ตามประสาคุณยายที่เห่อหลาน อีกสักครั้งเถอะ
นับจากวันที่โตโต้ออกมาดูโลก ถึงวันนี้ ได้ 34 วัน คุณยายเฝ้าดูพัฒนาการของเขาอย่างใกล้ชิด
โตโต้ยิ้มได้เมื่ออายุไม่ถึง 10 วัน แต่ไม่มีเป้าหมายว่ายิ้มทำไม ก็เป็นเรื่องปกติ ที่ไม่ปกติกว่านั้นก็คือ
เมื่อโตโต้อายุได้ 23 วัน คุณยายถ่ายรูปเขา บอกให้ยิ้ม ก็ยิ้ม และจนถึงวันนี้ โตโต้อายุได้ 34 วันแล้ว
เห็นกล้องเมื่อไหร่เป็นยิ้มทุกที
รู้จักมองตามเสียงคุณยาย เสียงแม่ พ่อ เวลาทำเสียงดุใส่จะหน้าเบะ หยุดดูดนม แก่แดดจริง
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา โตโต้อายุ 25 วัน คุณยายหนีไปไหว้พระที่เชียงแสน ไปซื้อของที่แม่สาย
ทิ้งโตโต้อยู่กับพ่อ-แม่ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ถึงสองทุ่มเลยทีเดียว ตอนอยู่ระหว่างการการเดินทาง โทรมาหาแม่เขาตลอด
แม่เขาบอกว่าไม่สดชื่นเลย ตัวอุ่นๆ เหมือนไข้รุม คุณยายซื้อโมบายรูปหมูอ้วนสีแดงมาให้หนูด้วย
พอคุณยายมาถึงโตโต้ก็มองหน้า เมื่อหยอกเย้าเขา เค้าก็ยิ้มตอบ สงสัยติดมือยายเสียแล้วสิเนี่ย...
ขณะที่เขียนถึงโตโต้ คุณยายหนีหนูมาเมืองชลได้ 4 วันแล้ว มาเมื่อวันที่โตโต้อายุครบ 1 เดือน คุณยายตัดผมไฟให้
เอาไปลอยน้ำที่ไหลผ่านข้างบ้าน (ไม่โกน ตัดออกมานิดหนึ่งพอเป็นพิธี) แล้วยายก็ออกบ้านมา
มารับน้าม่อนที่บ้าน หลังจากนั้นก็เอารถไปเข้าอู่เพื่อทำสีใหม่หมดทั้งคัน เตรียมเอาไว้ขับพาโตโต้กลับมาเมืองชลฯด้วยไงล่ะ
พี่โบตามมารับยายกับน้าม่อนที่อู่รถใกล้ๆสนามบิน อ้อ...ก่อนไปสนามบินไปแวะทานข้าวที่ "อิ่มปลาเผา" สาขาคันคลองฯ ไม่เหมือนสาขาสันทรายเลยในเรื่องของการบริการ แย่มาก อาหารก็งั้นๆ เอ๊ะ..ไปๆมาๆ ออกนอกลู่เสียแล้ว
มาพูดถึงโตโต้ใหม่....
ทุกวันนี้คุณยายเห็นโตโต้จากกล้องเว็บแคมที่ยายกับแม่คุยเอ็มกัน ก็ได้เห็นโตโต้ด้วย อีก 3-4 วันคุณยายก็กลับไปอุ้มหนูแล้วครับ...

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

TOTO...หลานยาย




ตอนที่หลานยังอยู่ในท้องของลูกสาว คุณยายมลก็แอบตั้งชื่อจริงไว้ เพราะความที่ลูกหลานใครๆหลายคนที่รู้จัก เกิดออกมาเค้าก็ขอตั้งชื่อให้.....
แต่...งานนี้แห้ว... ลูกสาวตั้งเองเลย และมีความหมายด้วย "เด็กชายบุณธนิต บุญยะกมล" (คุณแม่ชื่อธนิกานต์ คุณพ่อตระการ)และแถมจะเอาชื่อเล่น "นิด" เหมือนกับคุณทวด คุณยายมล ก็เลยอยากมีส่วนร่วมมั่ง ไม่เอาชื่อเล่นนี้ เอา "โตโต้" ดีกว่า เนื่องจากมีโครงการว่าหลังหย่านมจะฉกเอาตัวไปเลี้ยงที่ชลบุรี ชื่อจะได้คล้องจองจองอกับลุง คือ Thiti แต่พวกญี่ปุ่นเรียกว่า "ตีตี้ซัง" ทุกคนก็ยอม
ลุงตีตี้ กับหลานโตโต้...แจ๋วๆๆๆ
โตโต้ครบกำหนดคลอดวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒
วันที่ ๑๓ ทั้งวันก็ไม่มีอาการอะไรเลย จนตีสองแม่เค้าก็เริ่มเจ็บท้องนิดๆ ไปโรงพยาบาลเมื่อตีห้ากว่าๆ ของวันที่ ๑๔ คิดว่าบ่ายๆน่าจะออกมาดูโลก(อันไม่โสภา)แต่ที่ไหนได้พวกเราลุ้นกันจนหมดวันที่ ๑๔ ไปได้ ๔๒ นาที (เกินกำหนดหมอให้ ๔๒ นาที)โตโต้ก็โผล่มาสัมผัสโลกที่มีความรักของแม่ ยาย พ่อ ลุง และน้าๆ งานนี้ก็คงขาดคุณตานั่นแหละที่ไม่รอโตโต้ เอ...หรือตาจะกลับมาเกิดแล้ว มีปานดำเล็กๆ ที่ข้อเท้า เหมือนตาที่มีรอยแผลเป็นจากการแพ้ยาฆ่าหญ้าเหลืออยู่ที่ข้อเท้า เหอะๆๆ ถ้าใช่ก็แสดงว่า...ชาตินี้เราหนีไม่พ้นกัน!!
ตกลงก็คือโตโต้เกิดวันพุธที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ น้ำหนักแรกคลอด ๓,๓๓๐ กรัม ยาว ๕๖ ซม.เลขป้ายข้อมือ ๗๗๑ คนบ้าหวยหลายคน (รวมคุณยายมลด้วย)ไปซื้อล็อตเตอรี่ ...........แห้ว...เพราะมันออก ๑๗๗ ที่ ๓ ตัวล่าง ฮา...

ดูรูปโตโต้ดีกว่า

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเดินทางมาเป็นคุณยาย


เดินทางมาเป็นคุณยาย

วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ คุณยายมลตื่นแต่เช้า ลุกมาทำกับข้าว วันนี้จะเดินทางไปเชียงใหม่และ ก็จะต้องอยู่หลายวัน จนกว่าลูกสาวจะคลอด ก็เลยต้องเก็บผักกาดจากแปลงเล็กๆที่ปลูกไว้มาทำจอผักกาด เพราะทิ้งไว้เป็นเดือน ไม่มีคนเก็บกิน เสียดาย และ เช้าวันนี้ทำน้ำพริกอ่องด้วย
โม่ไปรับหนูแอนที่เทพประสิทธิ์(เป็นเพื่อนที่เคยสนิทกันเป็นพิเศษ) เพราะเธอจะไปส่งคุณยายมลที่สุวรรณภูมิด้วย กลับมาราวๆ ๙ โมงกว่าๆ มาทานข้าวเช้า และนั่งเล่นเน็ตสักพัก คุณยาย แพ็คกระเป๋าเสร็จ เราก็ออกจากบ้าน ประมาณ ๑๑ โมงกว่าๆ
จริงๆแล้วจองตั๋ว ทุ่มสิบนาที แต่ทางสายการบินโทรมาเลื่อนเป็น ๒ ทุ่ม ๔๐ นาที ก็ยั้วะเหมือนกัน ที่ต้องโทรคอนเฟิร์มคนที่จะมารับที่เชียงใหม่วุ่นวายไปหมด แต่ที่ต้องออกเดินทางจากบ้านเร็ว หลายชั่วโมงเพราะกะว่า จะไปแวะไหว้พระที่วัดธรรมนิมิตร ไปเดินห้างใหม่ของชลบุรี (เซ็นทรัลชลบุรี) เราไปแวะกินอาหารญี่ปุ่นที่นั่นมื้อกลางวัน ราคาถูกกว่าที่เซ็นทรัลพัทยาด้วย
เดินซื้อของฝากให้ลูกๆหลานๆ ได้กางเกงขาสี่ส่วนให้ม่อน ๑ ตัว ๕๙๕ บาท (พี่โม่จ่าย) นาฬิกาให้โบกับเบียร์คนละเรือน และของน้องโบแถมที่วางมือถืออีกอัน (อันนี้คุณยายจ่าย)ที่มีพิเศษให้น้องโบเพราะน้องโบเป็นคนมารับที่สนามบิน และจะเป็นคนบริการคุณยายมลตลอดที่อยู่เชียงใหม่ รวมถึงมาส่งกลับที่สนามบินอีกด้วย (ถ้าติดตามกันมาตลอดคงจำได้ว่าน้องโบเป็นเหลนคุณยายมล)
เราสามคนเดินทางออกจากเซ็นทรัลชลบุรีประมาณห้าโมงกว่า ฝนตกหนักก็เลยมาช้าๆ ถึงสุวรรณภูมิก็เกือบหกโมง กะว่าจะเดินเล่น และถ่ายรูปเล่นในท่าอากาศยาน หาอะไรอร่อยๆ กินมื้อเย็นก่อน ค่อยเช็คอิน
เมื่อทานข้าวเรียบร้อยมาเช็คอิน ก็หงุดหงิดอีกรอบเพราะเที่ยวบินถูกเลื่อนเป็น ๓ ทุ่ม ๑๐ นาที แต่ก็ไม่รู้จะทำไงได้ แต่ก็ต่อว่าไปนิดหน่อยพอให้หายใจโล่ง
คุณยายโทรศัพท์เลื่อนน้องโบอีก ว่ายายจะถึงประมาณไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง
ความเป็นจริงก็คือ เครื่องออกตั้ง ๓ ทุ่ม ๔๐ นาที
มาถึงเชียงใหม่เกือบห้าทุ่ม ความที่เอากระเป๋าเข้าไปโหลดก่อนใครเพื่อน เวลารับก็เลยโผล่นอนหน้าหงิกบนสายพานเป็นใบสุดท้าย
ฝนตกหนัก กลับมาถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน รื้อของ เก็บของ อาบน้ำเข้านอนก็เกือบตีหนึ่ง
โม่โทรมาเช็คตลอด
เห็นท้องลูกสาวแล้วอยากกินแตงโมเลย โห..มันใหญ่โตมโหราฬ น้ำหนักตั้ง ๘๘ กิโล ไม่แฝด หมอบอก แล้วมันจะตัวขนาดไหนกันนี่?
รอลุ้นอีก ๘-๙ วัน หมอนัดก่อนคลอดวันพรุ่งนี้ (วันที่ ๖)
แล้วค่อยกลับมาคุยใหม่ค่ะ.....

ถึงลูกของแม่


ถึงลูกของแม่

ตอนนี้เป็นช่วงที่ครอบครัวของเราขัดสน แต่ก็ไม่ถึงกับลำบากมาก (แค่พ่อไม่มีเงินซื้อนมให้แม่กินเท่านั้นเอง) ก็เดือนนี้พ่อของหนูทำงานได้ไม่กี่วันเอง เพราะเป็นวันหยุดเทศกาลสงกรานต์หลายวัน และต้องหยุดเพื่อช่วยงานทำบุญร้อยวันคุณตา พ่อของหนูทำงานเกี่ยวกับประปา ซึ่งมันทำให้พ่อหนูเหนื่อยมาก ทุกวันเสื้อผ้าจะต้องมอมแมม หน้าตาเนื้อตัวมีแต่เหงื่อ แต่พ่อก็ต้องทำ ยิ่งช่วงนี้ต้องขยันมากขึ้น เพราะแม่ไม่ได้ทำงาน และไหนจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับลูกที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้ลูกได้มากแค่ไหน
ทำใจหน่อยหนูอาจจะไม่ได้ใช้ของดีๆ สวยๆ เหมือนเด็กคนอื่น แล้วหนูคงจะเหงาหน่อยเพราะแม่คิดว่าจะมีลูกแค่คนเดียว แต่เชื่อได้ว่าความรักที่พ่อกับแม่ให้หนูนั้นจะมากพอและไม่ทำให้รู้สึกขาดแคลน
นับดูแล้วก็เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ ที่เราจะได้พบกัน
หนูจะเกิดเดือนกรกฎาคม หน้าฝนพอดี แม่ยังไม่รู้จะให้ชื่อหนูว่าอะไร รอให้เห็นหน้าก่อนถึงจะนึกชื่อออก และพอถึงตอนนั้นแม่ก็คงไม่เหงาเหมือนตอนนี้ เพราะพ่อของหนูไปทำงานยังไม่กลับถึงบ้านเลย แม่ได้แต่รอและพยายามทำตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุด เพราะเท่าที่พ่อของหนูต้องแบกรับภาระอยู่ในตอนนี้ก็มากเหลือเกินแล้ว แม่อยากช่วยพ่อทำงานหาเงิน แต่มันก็ติดอยู่ที่ว่าแม่กำลังตั้งครรภ์ ไม่มีบริษัทไหนอยากรับแม่เข้าทำงาน เพราะกลัวว่าแม่จะทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่เขาบริษัทพวกนั้นเขาคงลืมนึกไปว่าคนท้องก็ยังต้องกินต้องใช้ เหมือนกัน................

คุณยายมลแอบอ่านของลูกสาว...เรียกน้ำตาคุณยายได้หลายหยด ก็เลยเอามาลงไว้เตือนใจคนเป็นแม่ ว่าทิ้งลูกสาวได้ลงคอ
แต่..ตอนนี้ก็มาดูแลลูกและหลานที่กำลังจะเกิดมาดูโลกอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แกงสมุนไพร...ตอนที่ 2



ชะพลู (ไทยภาคกลาง), พลูลิง, ผักอีไร (ภาคเหนือ) ช้าพลู พลู (จันทบุรี) พลูลิงนก (เชียงใหม่) ผักพลูนก ผักปูนก พลูลิง (พายัพ) นมวา (ภาคใต้) ผักนางเลิก ผักอีเลิด (อีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper Sarmentosum
วงศ์ : PIPERACEAE
ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้ชนิดนี้ชอบขึ้นตามที่ลุ่มตํ่าและแฉะ โดยมากมักจะปลูกไว้รับประทาน ตามบ้านและมีขึ้นได้ทั่วไปทุกจังหวัดในประเทศไทย
ชะพลูเป็นไม้เถาเลื้อย ใบเป็นรูปหัวใจสีเขียวเข้ม เป็นมัน มีรสฉุนและออกเผ็ดเล็กน้อย
ชะพลูมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดเป็นพรรณไม้เถา ลักษณะลำต้น ใบ ดอก และรสก็มีลักษณะเดียวกัน แต่จะผิดกันตรงที่ลำต้นเป็นเถาเท่านั้น ส่วนคุณสมบัติในทางยาก็ใช้อย่างเดียวกัน ชนิดเถานี้เรียกกันว่า ชะพูเถา(ไทยภาคกลาง) ปูริงนก ผักปูริง ผักปูลิง ผักอีเลิด (ภาคเหนือ)
ส่วนที่ใช้ : ต้น ใบ ราก ใช้เป็นยา
สรรพคุณ : ต้น ใช้เป็นยารักษาเหสมหะในทรวงอก
ใบ ทำให้เสมหะงวดแห้งและช่วยเจริญอาหารยังใช้ปรุงเป็นยารักษาธาตุพิการ และธาตุนํ้าพิการ บำรุงธาตุ
ลำต้น รสเผ็ดร้อน แก้เสมหะในทรวงอก ขับเสมหะ แก้รู้สึกว่าแห้งในอก ( ธาตุน้ำในอก )
ดอก ( ลูก ) รสเผ็ดร้อน แก้ศอเสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้
ราก รสเผ็ดร้อน แก้คูถเสมหะ ขับเสมหะให้ตกทางทวารหนัก บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง

สารที่พบ
ชะพูลมีน้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เกิดกลิ่นเผ็ดฉุน และมีคุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญ คือ
มีแคลเซียมและสารเบต้า-แคโรทีนในปริมาณสูงในส่วนของงานวิจัยเป็นการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยมหิดล โดยศึกษาฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดชะพลู
(ใช้น้ำสกัดเอาสารสำคัญของชะพลูทั้งต้น) โดยใช้หนูทดลอง ผู้ทดลองแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม
หนูกลุ่มแรกถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน หนูกลุ่มที่สองเป็นหนูปกติ แล้วฉีดสารสกัดของชะพลู
เข้าไปในหนูทั้งสองกลุ่ม วัดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อฉีดเข้าไปครั้งแรกพบว่าสารสกัดชะพลูในขนาด 0.125 และ 0.25 กรัมต่อน้ำหนักของหนู 1 กิโลกรัม ไม่ช่วยลดระดับน้ำตาลของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวาน แต่เมื่อให้สารสกัดต่อไปอีก 7 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวานลดลง ซึ่งผู้ทดลองก็ได้นำยาแผนปัจจุบัน คือ ไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) มาทดสอบกับหนูทั้งสองกลุ่มเช่นกัน พบว่าได้ผลเช่นเดียวกับสารสกัดชะพลู
ในใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานกับร่างกาย 101 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
-เส้นใย 4.6 กรัม
-แคลเซียม 601 มิลลิกรัม
-ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
-เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม
-วิตามินบีหนึ่ง 0.13 มิลลิกรัม
-วิตามินบีสอง 0.11 มิลลิกรัม
-ไนอาซิน 3.4 มิลลิกรัม
-วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
-โปรตีน 5.4 กรัม
-คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม
-และให้เบต้า-แคโรทีนสูงถึง 414.45 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
ข้อควรระวัง
ไม่ควรรับประทานใบชะพลูมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการเวียนศรีษะ และทำให้มีการสะสมของสารออกซาเลท (Oxalate) ในร่างกายสูง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนิ่วในไต

มาทำแกงชะพลูกันเถอะค่ะ


เครื่องแกง
พริกขี้หนูแห้ง 15-20 เม็ด (แต่ถ้าใครชอบเผ็ดมากก็ใส่เพิ่มได้)
เกลือ 2 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 1 ต้น
พริกไทยดำ 1 ช้อนชา
กระเทียม 3-5 กลีบ
ขมิ้น 2 แว่น
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
มะพร้าว 4 ขีด
ใบมะกรูด 3 ใบ
ใบชะพลูซอยบาง 2 กำมือ
หอย ขมสับก้นแล้ว 1 กิโลกรัม (แต่ถ้าเป็นหอยที่หาเองก็ควรนำมาล้างและแช่น้ำขังไว้ 1 คืนก่อนเพื่อให้โคลนออก ก่อนที่จะสับก้นหอยแล้วล้างอีกครั้ง ตั้งจนสะเด็ดน้ำ)

วิธีทำ
1. นำเครื่องแกงที่เตรียมไว้มาตำรวมกันให้ละเอียด จากนั้นใส่กะปิและตำอีกครั้งจนเข้ากัน
2. คั้นมะพร้าวเป็นหัวกะทิ 1 ส่วน หางกะทิ 2 ส่วน นำกะทิส่วนหางมาตั้งไฟจนกะทิเดือดจนได้ที่ ใส่เครื่องแกงที่ตำแล้วลงไปคนจนเครื่องแกงละลาย
3. นำหอยขมใส่ลงไปตั้งไฟจนสุก (เพราะในหอยขมจะมีพยาธิ ถ้าหากไม่สุกเมื่อกินเข้าไปแล้วก็จะทำให้พยาธิไปโตในท้องได้) เมื่อหอยสุกก็เติมหัวกะทิลงไป ตามด้วยใบมะกรูดฉีก ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา จนได้รสชาติถูกปากเป็นอันเสร็จ
*** จะเปลี่ยนจากหอยขม มาเป็นเนื้อก็ได้ค่ะ (อย่าลืมย่างเนื้อให้พอหอมก่อนนะคะ)

จากวารสารสมุนไพรใกล้ตัว

ผักแปม...ผักที่บ้านอื่นไม่มี


นี่ก็เป็นผักสมุนไพรอีกชนิดที่พ่อเอามาปลูกไว้ในบ้านลูกที่ชลบุรี คนทางนี้ไม่รู้จัก หรือแม้แต่คนเหนือรุ่นใหม่ๆก็จะไม่รู้จัก..

ผักแปม จัดเป็นไม้พุ่มหรือพุ่มกึ่งยืนต้น มีความสูงต้น 2-8 เมตร เปลือกต้นที่แก่จะเป็นสีน้ำตาล กิ่งก้านอ่อนจะเป็นสีเขียว มีหนามแหลมงุ้มยาว 3-5 มิลลิเมตร กระจายอยู่ทุกส่วนของลำต้น กิ่งก้านและใบ ก้านใบจะแตกออกจากลำต้นสลับไปมา ก้านใบยาว 5-6 ซม. ใบยาวรี รูปไข่ หรือรูปรีแกมไข่ ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย หรือซี่ฟันเส้นใบเห็นชัดทั้งด้านบนและด้านล่าง ปลายใบแหลม เป็นติ่งยื่นยาวออกไป ฐานใบสอบแหลม ในแต่ละก้านใบ แยกเป็นใบย่อย 5 ใบ ใบตรงกลางจะใหญ่ที่สุด ขนาดของใบกว้าง 2-3 ซม. ยาว 4-7 ซม. ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ก้านช่อยาว 2-7 เซนติเมตร ดอกมีจำนวนมากติดกันเป็นกระจุกที่ปลายก้าน แบบดอกผักชี ก้านดอกเล็กยาว 10-12 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบดอกเชื่อมติดกัน ปลายมี 5 หยัก กลีบดอกมี 5กลีบ เกสรผู้มี 5 อัน เกสรเมียมี 2 ช่อง ท่อเกสรเมีย 2 อัน ผลแบนมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร

ประโยชน์ของผักแปม
ยอด
ใบนำมาใช้แกงอ่อม หรือรับประทานสดกับลาบ
เปลือกต้น น้ำต้มจากเปลือกต้น หรือถ้าจะให้ผลเร็วขึ้น ให้นำเปลือกไปย่างหรืออบเสียก่อนแล้วแช่ในแอลกอฮอล์ใช้แก้โรคผอมแห้ง และโรคประสาท
เนื่องจากผักแปมมีรสขมอมฝาดเล็กน้อย จึงมีสรรพคุณช่วยแก้อาการท้องอืดได้ด้วย

การปรุงอาหาร ชาวเหนือนิยมรับประทานยอดอ่อนของผักแปม โดยการรับประทานเป็นผักสดแกล้มกับลาบหมู ลาบเนื้อวัว หรืออาจนำมาใส่แกงอ่อมชาวเหนือเล่าว่าหากเอาผักแปมจิ้มกับลาบ จะทำให้มีรสกลมกล่อมและเชื่อว่าดับกลิ่นคาวได้ด้วย หรือแกงเมือง โดยใช้ส่วนผสมเดียวกันกับ "แกงผักฮ้วน" ทุกอย่างค่ะ

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

7 วันที่นอนหลับไม่สนิท



ไม่ถึงกับเป็น 7 วันอันตราย... แต่คุณยายมลก็หลับไม่สนิท เพราะอะไรหรือ... ก็เพราะลูกเขยโทรมาเสียงกระหืดกระหอบเมื่อกลางดึก คืนวันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า
"แม่ๆ ตอนนี้ผมอยู่โรงบาล เมเข้าโรงบาล"
หะแรก...ดีใจหลานคงจะออกแล้ว แต่..เอ๊ะ มันเหลือเวลาอีกเป็นเดือน กว่าจะครบกำหนดคลอด... ก็เลยรีบย้อนถามว่าเป็นอะไร
พ่อลูกเขยก็ช่างกระไร เออเร่อด็อทคอมเลย..ตอบว่า
"เจ็บท้อง...หายใจไม่ออก ตอนนี้ใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ" ฟังแค่นี้เราก้รู้สึกแย่แล้ว ยังพูดผิดต่อไปอีก "อยู่ห้องไอซียู"
"โอยขนาดนั้นเลยเหรอ ห้องไอซียู.."
"ไม่ใช่แม่ ผมพูดผิด..ห้องฉุกเฉิน"
ค่อยโล่งอก ฝากให้ลูกเขยไปบอกลูกตัวว่า วันเสาร์แม่จะขึ้นไป หลังจากนั้นก็ติดต่อขอเลื่อนตั๋วเดินทาง(เพราะจองตั๋วไว้แล้วจะขึ้นไปช่วงต้นๆ เดือน กรกฎา เพราะกำหนดคลอดหลานกลางเดือน กะจะไปดูแลสักระยะค่อยกลับมาทำมาหากินที่ชลฯ)
อุแม่เจ้า.........ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนเที่ยวบินเท่ากับซื้อตั๋วใหม่เที่ยวนึงเลย!! คิดแล้วคิดอีก (เศรษฐกิจพอเพียง) ยังไม่เลื่อนการเดินทาง รอรุ่งขึ้นค่อยว่ากันใหม่
เป็นคืนแรกที่นอนไม่เต็มตา คิดอะไรไม่รู้สาระพัด...
รุ่งขึ้น โทรไปหาลูกสาว ยังพูดหอบๆ แต่ก็ได้ความว่า กรวยไตอักเสบ น้ำตาลขึ้น (กินหวานแบบสุดๆ) เติมน้ำเกลือ ..
"แม่ไม่ต้องมาตอนนี้ก็ได้ ไว้สิ้นเดือนค่อยมาตามที่แปลนไว้ก็แล้วกัน"
"แม่เป็นห่วง"
ลูกสาวบอกว่า ป้าๆ และน้องม่อนมาเยี่ยมกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่เป็นไรมากละ
แม่กับลูกก็เลยได้แต่โทรคุยกัน คุยมากก็ไม่ได้ เพราะเหนื่อย...รู้ว่า หลานในท้องดิ้นตูมตามเลยท้องแข็ง ก็คงเพราะแม่เขาป่วย ลูกก็ป่วยตาม...
3 วัน อาการเริ่มดีขึ้น ถอดสายน้ำเกลือ แต่ก็ยังกินอาหารอ่อนตลอด .....
จนวันที่ 15 มิย. แม่ไปทำสังฆทานให้ยาย ครบ 10 ปีที่ยายเสีย ก็เลยภาวนาให้ลูกหายไวๆ..
กลับมาบ้านเปิดเน็ต.. อ้าว เห็นลูกสาวออนเอ็มฯ ก็เลยไม่แน่ใจ ทักไป ..อ่าว...ใช่จริงๆ
"ไม่ได้เล่นเน็ตหลายวัน เลยให้พี่ปู(ลูกเขย)เอาโน๊ตบุ๊กมาให้ ...แอบใช้ไฟโรงบาลอีก" ตระกูลติดเน็ตจ้า...ขอบอก
คนเป็นแม่ก็เลยดีใจที่ลูกอาการปกติ
หมอบอกว่า ไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่น้ำตาลขึ้นเฉพาะกิจว่างั้นเถอะ.. (ลูกสาวสารภาพว่า...เพราะเห็นกะทิเหลือจากทำกับข้าว ก็เลยเอามาเคี่ยว เติมน้ำตาล น้ำผึ้ง ราดลงบนสับปะรดฉ่ำๆ) โอ๊ย...จะเหลือหรือนั่น น้ำตาลไม่ขึ้นโผล่ทะลุที่หัวก็ดีแล้ว !!
ลูกสาวออกโรงพยาบาลแล้วเมื่อวันที่ 18 รวมนอนอยู่โรงพยาบาล 7 คืนเลย
เราแม่ลูกโทรคุยกันทุกวัน บางทีก็คุยกันทางเอ็มฯ แต่แม่ขี้เกียจพิมพ์ โทรดีกว่า คุยรู้เรื่องเร็ว
ตอนนี้ก็สบายใจแล้ว เมื่อคืนนอนหลับสบาย...
วันนี้ไปเดินห้าง ดูหนัง กับลูกชาย คลายเครียด...
อีก 15 วันเจอกันที่เชียงใหม่นะลูก...

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แกงสมุนไพร.... (ตอนที่ 1)





ต้นไม้..พืชสมุนไพร และ ไม้ดอก ที่พ่อเอามาปลูกไว้ในบ้านลูก มีหลายชนิด วันนี้เอาชนิดที่กินได้ก่อนนะคะ
1. ผักฮ้วนหมู
ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งและมีอายุหลายปี เถาอ่อนลักษณะกลมสีเขียวเข้มผิวเรียบ มีจุดกระสีน้ำตาลอ่อนกระจายอยู่ทั่วไป เถาเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้มลำต้นมีรอยแตกหรือมีร่องเล็กๆ แตกตามความยาวของต้น มีจุดสีขาวอยู่ที่ผิวของลำต้น มียางสีขาว
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตามข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบรูปหัวใจไม่มีหูใบ ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลมโคนใบเว้าเข้าหากันคล้ายใบโพธิ์ ใบสีเขียว หลังใบสีเขียวอ่อนกว่าหน้าใบเล็กน้อยใบเป็นในและเห็นเส้นกลางใบชัดเจน ใบกว้าง 4-17.5 ซม. ยาว 6-21.5 ซม.
ดอก เป็นดอกช่อกลีบดอกสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือตามข้อ แต่ละช่อมีดอกย่อยมากกว่า 20 ดอก และเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเรียง 5 กลีบ แยกกันหรือติดกันที่ฐานเล็กน้อย กลีบดอก 4-5 กลีบ ติดกันเป็นท่อที่โคนเวลากลีบดอกจะกางออก ดอกขนาดเล็กกว้างประมาณ 0.5-1 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 1-3 ซม.
ผล เป็นฝักคู่รูปหอกปลายผลตัดสีเขียวอ่อน มีจุดกระสีน้ำตาลกระจายตามผิวของฝักทั่วไป ออกตรงข้ามกัน เมล็ดมีพู่ปลิวไปตามลม
ส่วนที่ใช้บริโภค ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dregea volubilis Stapf.
คุณค่าอาหาร
ยอดผักฮ้วนหมู 100 กรัม ให้พลังงาน 58 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย เส้นใย 2.3 กรัม แคลเซียม 104 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม เหล็ก 1.8 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 1,595 ไมโครกรัม ไนอซิน 1.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 266 IU. วิตามินบี1 0.14 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.24 มิลลิกรัม วิตามินซี 351 มิลลิกรัม
สรรพคุณทางยา
ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกาย ทำให้เจริญอาหาร ราก ใช้ดับพิษร้อน พิษไข้ พิษไข้กาฬ ขับปัสสาวะ เถา ขับปัสสาวะ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ดีกำเริบ ใบ แก้ฝีภายใน แก้พิษต่างๆ ขับปัสสาวะ

แกงผักฮ้วนหมู
แกงผักฮ้วนหมู หรือแกงผักฮ้วน หรือยอดเถากระทุงหมาบ้า นิยมนำยอดอ่อนมาแกงกับปลาแห้ง มะเขือเทศลูกเล็ก และมีวิธีการแกงเช่นเดียวกับแกงผักขี้ขวง ผักขี้เสียด แกงผักหวาน แกงผักเซียงดา
ส่วนประกอบ (กะขนาดตามจำนวนผู้รับประทาน "
- ผักฮ้วนหมู
- ปลาแห้ง (ปลาช่อนย่าง บางทีใช้ไข่มดแดงแทนก็อร่อย)
- พริกขี้หนูแห้ง
- มะเขือเทศลูกเล็ก
- กระเทียม
- หอมแดง
- ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
- ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- ปลาร้า (ต้มสุก) และกระปิแกง นิดหน่อย
- เกลือป่น (หากใช้น้ำปลาอาจทำให้มีกลิ่นคาว
วิธีทำ

1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด โขลกเครื่องแกง
2. ละลายน้ำพริกแกงลงในน้ำคนให้เข้ากันยกตั้งไฟ พอเดือด ใส่ปลาแห้ง
3. ต้มจนปลานุ่ม (เอาออกมาเลาะก้าง )แล้วใส่ปลาลงไปอีกครั้ง ใส่มะเขือเทศ ตามด้วยผักฮ้วน พอผักสุก ปิดไฟ รับประทานกับ
แคบหมู ข้าวเหนียว
(ตอนที่ 2 เราจะมาแกงดอกสะแรกันค่ะ อย่าลืมติดตามนะคะ)

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สายเกินจะเอ่ยคำว่า..รักเธอ...



ฉันมีเพื่อนที่อยู่ในเมืองให­ญ่ที่ไม่มีวันหลับใหล และวันเวลา ก็ยังคงผ่านไป....
ฉันไม่เคยรู้ว่านานเท่าใด แต่ฉันก็ไม่เคยเจอ...เขา...เพื่อนเก่าคนนั้น
เพราะวุ่นวายอยู่กับชีวิตที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน รู้แต่ว่าเขาคงสบายดีเช่นกัน
จนวันหนึ่งอยากลองไปหาดูสักที เพื่อนที่เราเคยมีความรู้สึกดีๆต่อเขา
แต่ตอนนี้ชีวิตเรายุ่งเหยิงและเหนื่อยล้า ต้องฟันผ่ากับเกมส์ชีวิตที่หลากหลาย
เหนื่อยหน่ายกับการสร้างภาพชีวิต
พรุ่งนี้แล้วกันนะฉันจะโทรหา.... ฉันบอกตัวเอง และปลอบตัวเองว่าเรายังมีเพื่อนให้คิดถึงอยู่

แต่...พรุ่งนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ระยะทางระหว่างเรา ยิ่งไกล
เพื่อนที่อยู่ใกล้กลับเหมือนอยู่ห่างเป็นร้อยไมล์
จนได้ข่าวว่าเพื่อนจากเราไปเสียแล้ว...

นี่คือ สิ่งที่เราสมควรได้หรืออย่างไร
ที่ตรงนั้นไม่ไกล แต่ว่าไม่มีเพื่อนของฉันอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว….

..จงพูดอย่างที่ใจคิด ถ้าคุณรักใครสักคนก็บอกเขาไป
อย่ากลัวที่จะเปิดเผยความรู้สึก จงเปิดใจ และบอกสิ่งที่คุณรู้สึกกับคนที่มีความหมายสำหรับคุณ

เพราะหากคุณรอจนถึงเวลาที่คุณคิดว่าเหมาะสม วันนั้นอาจจะช้าไป........
หาโอกาสในวันนี้ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจทีหลัง
สิ่งที่สำคั­ญที่สุด จงอย่าละเลยเพื่อนและครอบครัว
เพราะพวกเขามีส่วนทำให้คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นทุกวันนี้
จากหนูปิ่น /นอร์เวย์ (น้ามลแก้ไขนิดหน่อยนะคะ)

It's too Late !!


Around the corner I have a friend,
In this great city that has no end,
Yet the days go by and weeks rush on,
And before I know it, a year is gone.
And I never see my old friends face,
For life is a swift and terrible race,
he knows I like him just as well,
As in the days when I rang his bell.
And he rang mine but we were younger then,
And now we are busy, tired men.
Tired of playing a foolish game,
Tired of trying to make a name.
'Tomorrow' I say! 'I will call on Jim
Just to show that I'm thinking of him.'
But tomorrow comes and tomorrow goes,
And distance between us grows and grows.
Around the corner, yet miles away,
'Here's a telegram sir,' 'Jim died today.'
And that's what we get and deserve in the end.
Around the corner, a vanished friend.
Remember to always say what you mean.
If you love someone, tell them.
Don't be afraid to express yourself.
Reach out and tell someone what they mean to you.
Because when you decide that it is the right time
it might be too late.Seize the day.
Never have regrets. And most importantly,
stay close to your friends and family,
for they have helped make you
the person that you are today.

จากหนูปิ่น/นอร์เวย์

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คุณประโยชน์ของกล้วยหอม


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส
(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร
มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที
เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที
ไม่ต้องสงสัยเลย ...นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)
ยังไม่หมด....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกัน

ความเศร้าซึม
จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม
พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม
เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin
สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

pms (premenstrual syndrome)
สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย
ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย...เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย....
มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........

โรคโลหิตจาง (Anemia)
ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้
แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า...

ความดันโลหิต (Blood Pressure)
กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ
เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration
อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)
ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น
เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

อาการท้องผูก (Constipation)
เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี

เมาค้าง (Hangovers)
วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake
โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย
ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็ วขึ้น......

จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)
กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่
ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

Morning Sickness
ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ
ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้

บรรเทาแผลยุงกัด
ก่อนที่จะใช้ยาทา
ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ

ระบบประสาท (Nerves)
วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. ...อ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป
ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า
ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเ ต้โต้ชิปส์มากเกินไป
ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.
มันจะช่วยปรับร?ดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจ ุกจิก

แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (Ulcers)
สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สัตว์เลี้ยงมงคล...ประจำราศีต่างๆ




ราศีเมษ (13 เม.ย - 13 พ.ค.) เลี้ยงสัตว์อะไรก็ต้องเน้นความซื่อสัตย์ หมาหรือแมวก็ดีทั้งนั้น
ราศีพฤษภ (14 พ.ค. -13 มิ.ย.) ควรจะเลี้ยงปลา ปลาอะไร พันธุ์ อะไร ก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นปลา

ราศีเมถุน (14 มิ.ย. - 14 ก.ค.) ต้องเป็นสัตว์ปีก ไก่ นก หรือถ้าไม่สามารถเลี้ยงได้ เอารูปนก มาติดผนัง ก็เป็น
มงคลได้
ราศีกรกฎ (15 ก.ค. -16 ส.ค.) สัตว์น้ำที่มีความแข็งแรง อย่างปลามังกร ปลาคาร์ฟ เน้นที่ความสง่างาม (ไม่ใช่ สวยงาม)
ราศีสิงห์(17 ส.ค. - 16 ก.ย.) ต้องเลี้ยงสัตว์ป่า ถ้าเป็นสุนัขก็ต้องเป็นพันธุ์ดุร้าย ตัวใหญ่

ราศีกันย์ (17 ก.ย. - 16 ต.ค.) เป็นราศีที่รักอิสระ ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ใดๆเลย แต่ควรทำบุญทำกุศลโดยบริจาคเงิน
ซื้ออาหารให้สัตว์
ราศีตุลย์ (17 ต.ค. - 15 พ.ย.) ควรเลี้ยงปลา เป็นปลาบ่อ ไม่ใช่ปลาตู้
ราศีพิจิก (16 พ.ย. - 15 ธ.ค.) เลี้ยงสุนัขที่มีขนยาว ปุกปุย
ราศีธนู (16 ธ.ค. - 14 ม.ค.) ราศีนี้เป็นเจ้าของหมาได้ แต่คนใกล้ชิดต้องเลี้ยงแทน ควรเป็นหมาพันธุ์เตี้ย ดุ

ราศีมังกร ( 16 ม.ค. - 12 ก.พ.)
เลี้ยงแมวสีสวาดจึงจะดี

ราศีกุมภ์ (13 ก.พ. - 13 มี.ค.) ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลย
ราศีมีน (14 มี.ค. - 12 เม.ย.)
เลี้ยงปลาสวยงาม เช่นปลาเงิน ปลาทอง


ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ thaiorc.com ค่ะ

ดอกไม้ ประจำวันเกิด


วันนี้เรามีดอกไม้ ประจำวันเกิดมาให้อ่านกันค่ะ … ใครเกิดวันไหน ตรงกับต้นไม้ หรือดอกไม้อะไรก็อย่าลืมไปหามาปลูกนะคะ

เกิดวันอาทิตย์
ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม
ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์
คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย

เกิดวันจันทร์
ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี
ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

เกิดวันอังคาร
ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เกิดวันพุธ
ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพ
ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน

เกิดวันพฤหัสบดี
ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ

เกิดวันศุกร์
ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน
ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง

เกิดวันเสาร์
จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด
ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจากกะปุกดอทคอมค่ะ.............

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ดูแลตัวเองอย่างไร ในวัย...ใกล้ฝั่ง







แม้ตอนนี้ยังไม่ใกล้ฝั่งเท่าไหร่(เกือบๆแล้ว) เราก็ควรที่จะใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่กับลูกหลานนานๆ คุณยายมลไปได้ความรู้มาจากเว็บไซท์ราชวิทยาลัยแพทย์ออโธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ก็เลยอยากจะเอามาแบ่งปันให้กับผู้อ่านทุกคนค่ะ

อายุมากขึ้นการดูแลสุขภาพก็ต้องยิ่งดูแลมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนแก่ผู้สูงวัย นอกจากตัวผู้สูงอายุเองที่ต้องเอาใส่ใจต่อสุขภาพของตนเองแล้ว บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดก็นับเป็นส่วนสำคัญที่สามารถช่วยดูแลด้านสุขภาพให้กับ ผู้ใหญ่ในบ้านได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องหลักๆที่ไม่ควรมองข้ามได้แก่เรื่องดังต่อไปนี้
1. การนอน
1.1 เตียงนอน ควรทำด้วยวัสดุที่แข็งและมีผิวเรียบ สูงระดับเข่า เมื่อนั่งห้อยขาข้างเตียงเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี
1.2 ที่นอน ควรมีความแน่นและแข็งพอสมควร ขณะนอนไม่ทำให้ลำตัวโค้งงอ ซึ่งทดสอบได้โดยนอนหรือนั่งบน ที่นอนแล้วลุกขึ้น ใช้มือลูบบนที่นอน ถ้ารู้สึกว่าที่นอนยุบบุ๋มลงไปตามน้ำหนักตัว ไม่เรียบเสมอกัน ก็ควรเปลี่ยนที่นอน
1.3 ท่านอน ควรนอนหงายแล้วใช้หมอนหนุนใต้เข่า ให้เข่างอเล็กน้อย หรือ นอนตะแคงกอดหมอนข้าง โดยขาที่วางบนหมอนข้างให้งอสะโพกและเข่าเล็กน้อย ไม่ควร นอนคว่ำเพราะหลังจะแอ่นทำให้ปวดหลังได้
1.4 การลุกจากที่นอน ให้เลื่อนตัวมาใกล้ขอบเตียงแล้วตะแคงตัว งอเข่า งอสะโพก ห้อยเท้าลงข้างเตียง พร้อมกับใช้มือและศอกยันตัวลุกขึ้นนั่งในท่าตะแคงตัวแล้วจึงค่อยลุกยืนต่อไป ไม่ควรลุกขึ้นนั่งในขณะที่นอนหงายอยู่

2. การนั่ง
2.1 เก้าอี้ ควรมี - ความสูงระดับข้อเข่า เมื่อนั่งแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี
- ส่วนรองนั่ง ควรมีความลึกพอที่จะรองรับสะโพกและต้นขาได้
- พนักพิง ควรมี ผิวเรียบ เอนไปข้างหลังเล็กน้อย
- ที่เท้าแขน เพื่อเป็นที่พักวางแขนและใช้เป็นที่ยันตัวเวลานั่งหรือลุกยืน
2.2 ท่านั่ง ควรนั่งหลังตรง พิงกับพนักพิง ให้น้ำหนักลงตรงกลางไม่เอียง วางเท้าราบกับพื้น งอเข่าตั้งฉาก ต้นขาวางราบกับที่นั่งให้ข้อพับเข่าอยู่ห่างจากส่วนรองนั่งของเก้าอี้ 1 นิ้ว เพื่อป้องกันการกดทับเส้นเลือดใต้เข่า ถ้าที่นั่งของเก้าอี้ลึกมากและมีช่องว่างระหว่างหลังกับพนักเก้าอี้ ควรหาหมอนมารองแผ่นหลัง ไว้ด้วย ไม่ควรกึ่งนั่งกึ่งนอนเพราะทำให้ปวดหลังได้ง่าย ซึ่งอาจจะไม่รู้สึกปวดทันที บางครั้งข้ามวันไปแล้ว จึงจะเริ่มปวด
2.3 การนั่งส้วม ควร ใช้โถส้วมชนิดมีที่นั่ง (โถชักโครก) และ ทำที่จับบริเวณข้างโถส้วมเพื่อช่วยพยุงตัวเวลานั่งลงหรือลุกขึ้น ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดเข่าได้

3. การยืน
ผู้ที่เวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่าหรือหน้ามืดบ่อย ๆ ก่อนลุกจากเตียงหรือเก้าอี้ ให้นั่งห้อยขา ขยับข้อเท้า 5-10 ครั้ง ใช้มือจับที่ยึดเกาะข้างเตียงหรือข้างเก้าอี้ แล้วจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและยืนนิ่ง ๆ สักพัก เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการเซขณะลุก
ควร ยืนให้หลังตรงในท่าที่สบาย กางขาเล็กน้อย ให้น้ำหนักตัวลงค่อนมาทางส้นเท้า ถ้าต้องยืนในท่าเดียวนาน ๆ ควรขยับตัวเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ หรือยืนให้ลงน้ำหนักบนขาข้างใดข้างหนึ่งสลับกัน หรือ วางพักเท้าบนที่สูงประมาณ 1 คืบ
ถ้าต้องการหยิบของจากพื้น ไม่ควรก้มหลังลงไปหยิบ ใช้วิธีนั่งยอง ๆ งอเข่าและสะโพก แต่ให้หลังตรงจะดีกว่า
การหยิบของจากที่สูง ไม่ควรยื่นมือและยืดตัว ไปหยิบสุดเอื้อมควรหาเก้าอี้หรือบันได เพื่อปีนขึ้นไปหยิบจะดีกว่า
การหิ้วของ ควรปรับน้ำหนักเฉลี่ยใกล้เคียงกันและหิ้ว 2 ข้าง ไม่ควรหิ้วของข้างเดียว ถ้าใช้การอุ้มจะดีกว่าการหิ้ว

4. การเดิน
ควร เดินบนพื้นราบ ใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย ( สูงไม่เกิน 1 นิ้ว ) หรือ ไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควรและมียางกันลื่น มีขนาดที่พอดีเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับ ไม่หลวมหรือคับเกินไป ควรใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า หรือ โครงเหล็ก 4 ขา ไม่ควร เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกัน เช่น บันได ทางลาดเอียง หรือ ทางเดินที่ขรุขระ

ขอบคุณข้อมูลจาก ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

30 องศาเซลเซียส







สำหรับคนเชียงใหม่ 30 องศาเซลเซียส ไม่ใช่เรื่องปกติ



ที่เชียงใหม่ก็ร้อน ไม่ใช่ไม่ร้อน แต่ไม่เท่าที่นี่ ที่ชลบุรี ร้อน แสบผิว เหนียวหน้าเหนียวตัว (คงอยู่ใกล้ทะเล บ้านอยู่ห่างทะเล4-5 กิโล)
อย่าแปลกใจว่าคนที่นี่ นอกจากเปิดแอร์แล้ว พัดลมก็ยังต้องใช้อีก บ้านหลังหนึ่งมีพัดลมกัน 4-5 ตัว ในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว เอาเป็นว่าตั้งไว้ทุกซอกทุกมุมเลยก็แล้วกัน
อาบน้ำเ สระผม เสร็จปุ๊บ ต้องเปิดพัดลมเลย ไม่เช่นนั้นทาครีม ทาแป้งไม่ได้ เหงื่อพรั่ก โปะแป้งเข้าไปหน้าเป็นแมวคราวเลยก็แล้วกัน
เดือนกรกฎาคม คุณยายมลจะกลับไปอยู่เชียงใหม่กับลูกสาวสักเดือนหนึ่ง ไปสัมผัสสายฝนที่แม่ริม (ก็ยังไม่รู้ว่าฝนจะมีหรือเปล่า)
ก็เนื่องจากว่า กำหนดคลอดหลานยายกลางๆเดือนกรกฎาคม (14 ก.ค.52 ไม่รู้จะเป๊ะอย่างหมอกำหนดไว้หรือเปล่า)
ก็คงจะออกเดินทางประมาณวันที่ 4 หรือ 5 นี่แหละเมื่อเช้าพี่สาวโทรมาบอกว่า เข้าไปเก็บมะไฟ มะม่วง ที่บ้านแม่ริมไปกิน เพราะมันเยอะเหลือเกิน ตอนที่คุณยายมลอยู่ ก็จะเก็บมามัดเป็นกำขายกำละ 10-20 แล้วแต่(แล้วแต่น้ำหนักนะ ไม่ใช่แล้วแต่หน้าตาคนซื้อ) ก็พอได้ค่ากะปิน้ำปลาบ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่มีคนขายแล้ว เพราะลูกสาว ลูกเขย แจกอย่างเดียวค่ะ ก็...ยังดีกว่าปล่อยให้มันเน่า ร่วงหล่นเป็นขยะไม่เป็นประโยชน์กับใคร
ตอนนี้ ที่กำลังพิมพืถึงนี่ ก็ปรากฎว่าฟ้าดำมืดมาทีเดียว ถ้าตก ก็หนักเอาการ แต่ส่วนมากจะมืดฟ้า แต่ไม่มัวฝน เพราะเจอพายุพัดเอาเมฆไปตกที่อื่นหมด
ใครมาอยู่ที่นี่ต้องปรับสภาพ ทำใจ และดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น นอกจากอาหารการกินจะไม่เหมือนบ้านเราแล้ว ดินฟ้าอากาศก็ยังไม่เหมือน ซ้ำจะแย่ไปกว่าอีก
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้กี่องศา แต่ถึงจะกี่องศา เราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่แล้ว ปรับอากาศไม่ได้ ก็ปรับตัว ปรับใจของเราดีกว่า...
ไปละค่ะ แล้วจะกลับมาใหม่
คุณยายมล