วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ภาพครอบครัวของเรา..






ล่าสุดที่อยู่พร้อมหน้า 1 มกราคม 2548
ที่เขื่อนแม่งัด

ไม่เคยคิดว่าจะเป็นรูปถ่ายสุดท้ายที่อยู่ครบทุกคนในครอบครัวของเรา
ปกติจะหายไปหนึ่งคน คือคนที่เป็นตากล้อง

คนเก่ง...ในอดีต
















ก็สืบเนื่องจากบทความก่อนหน้านี้ที่ฉันจัดเก็บตู้ใส่เอกสาร...
ก็เลยไปพบ รูปของคนเก่งในอดีต
เมื่อปี 2543 ที่ไปรับรางวัล "ศูนย์บริการดีเด่น" ของบริษัทพรีเมียร์ฯ สาขาเชียงใหม่
ก็...ทำให้คิดถึงตอนที่เธอทำงานอยู่บริษัทฯ ซึ่งฉันมักจะถามเธอเสมอว่า บริษัทนี้เป็นของเธอคนเดียวเหรอ
ก็เพราะเห็นเธอทุ่มทุนสร้างเสียเหลือเกิน ทั้งทุ่ม ทั้งเท ทั้งเสียสละ รักและห่วง บริษัท (ตอนนั้นคิดว่า ...ยิ่งกว่าครอบครัว)
เมื่อก่อนบ้านเราจะอยู่คนละทางกับบริษัท ระยะทางจากบ้านมาบริษัท ไป-กลับประมาณ 40 กิโลเมตร
แต่ช่วงปี 2538 เราย้ายมาซื้อที่ ปลูกบ้านที่อำเภอแม่ริม ห่างจากบริษัทประมาณ 8 กิโลเอง
เข้าทางเลย.... วันหยุดวันพักก็ไม่เว้น ขอให้ได้ไปดู ไปเห็นหลังคาบริษัทซักหน่อยก็ยังดี
บางคืนฝนตกหนัก ผวาลุกขึ้น รีบแต่งตัวขับรถไปบริษัท เพื่อไปดูว่าฝนรั่ว ฝนสาดเข้ามาในห้องทำงานไหม เอกสารเปียกหรือเปล่า???
แล้วเธอก็ได้รับผลตอบแทนที่น่าภูมิใจ เอาไว้ให้ลูกๆ และคนอยู่หลังที่รักเธอได้ภาคภูมิใจ แม้ว่าเมื่อเธอจากไป เธอจะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้แม้เพียงอย่างเดียวก็ตาม....

สองเรา เมื่อวันวาน...


เมื่อทำความสะอาดตู้เก็บเอกสารเช้านี้ บังเอิญได้เห็นบัตรเอทีเอ็มเก่าๆ ใบหนึ่ง ของคนใกล้ชิด ก็เลยหงายขึ้นดูด้านหน้า...
ถึงบางอ้อเลย ว่ารูปที่ไปถ่ายที่เชียงของ ตอนไปเที่ยวกับลูกๆ 5 คนครอบครัวเรา เมื่อเกือบ 20 ปีแล้ว มันแหว่งจากอัลบั้มไป 1 รูป... อยู่นี่เองพ่อตัวดี!!
ถึงสัจจธรรมเลยว่า...เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่คนเราจะหลีกหนีไม่พ้นจริงๆ
เออหนอ.. เมื่อยามนั้น เราทั้งสองก็ยังดูหนุ่มดูสาวอยู่เลย อายุเราตอนนั้น ประมาณ เธอ 43 ฉัน 39 นี่แหละ ลูกคนโตเป็นคนถ่ายรูปนี้ให้
เมื่อก่อนเราชอบไปไหนๆ เป็นครอบครัว ขับรถไปเรื่อยๆ บางทีก็ออกจากบ้านโดยยังไม่รู้จุดหมายก็มี ไปสรุปกันกลางทางก็บ่อยครั้ง เรามีกล้องโกดัก รุ่นปัญญาอ่อนอยู่ตัวหนึ่ง ก็เก็บภาพกันไว้เยอะ ยังไม่ได้ scan ลงเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเยอะเลย หลายอัลบั้มมาก
เวลาว่างๆ ฉันชอบเอารูปภาพเก่าๆ มานั่งดู มันมีความรู้สึกเป็นสุข บางทีก็ขบขัน บางครั้ง ถามตัวเองว่า เอ..เสื้อผ้าชุดนี้ ฉันสวมมันเข้าไปได้ยังไง... หรือบางทีก็อดจะก้มมองดูตัวเองแล้วถอนใจยาวเชียว...บอกตัวเองว่า หุ่นอย่างในรูปน่ะ มันไม่กลับมาอีกแล้ว .. เหอๆ ๆ The river of no return..
ระหว่างเรา... มีเรื่องให้นึกถึงได้ตลอด เหลียวไปทางไหน มองอะไร หยิบอะไร ก็ดูเหมือนจะมีเธออยู่ที่นั่น ที่นี่เสมอ เธอไม่เคยไปจากฉันเลยจริงๆ...
แต่มันก็ดีนะ ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น ไม่ว้าเหว่ เหมือนกับที่เคยคิดไว้ว่า สักวันถ้าไม่มีเธอ ฉันจะอยู่อย่างไร
มาถึง ณ วันนี้ ฉันก็ได้คำตอบว่า ฉันอยู่ได้อย่างมีความสุข กับภาพความหลัง กับเงาอดีต ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...ทุกครั้งที่ดูภาพ ทุกคราที่ย้อนนึกถึงวันวาน...ฉันก็มีความสุขเหมือนเดิม...

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

จดหมายถึงคุณตา....ฉบับสุดท้าย...











พ่อ...สุดที่รัก,

อย่าเพิ่งตกใจที่เห็นชื่อเรื่องเพราะเป็นแค่จดหมายที่เป็นฉบับสุดท้าย แต่พ่ออยู่กับเราเสมอ...
จดหมายที่แม่จะเขียนถึงพ่อเป็นฉบับสุดท้ายจริงๆ เพราะเมื่อพ่อจากเราไปครบ 100 วันแล้ว โบราณเขาถือกันว่า พ่อจะไปจุติเป็น เทพ (พ่อเชื่อป่าว?) ก็ไม่มีประโยชน์ที่ต้องเขียนเล่าเรื่องอะไรให้พ่อฟังอีก ก็...ถึงอย่างไร เทพ ก็ต้องรู้โดยญาณทั้งหมดแล้ว และอีกอย่างแม่ไม่แน่ใจว่า เมืองเทพ มีอินเตอร์เน็ตใช้หรือเปล่า
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พ่อยังอยู่ในหัวใจ อยู่ในความทรงจำของเราแม่ลูกตลอดไป ขอสัญญาว่า เมื่อหลานเราโตขึ้น แม่ก็จะเล่าเรื่องคุณตาให้เขาฟังเสมอจ๊ะ
ที่เคยบอกพ่อไว้ว่าจะเอากล้วย 2 เครือ และฟักทองอีก 2 ลูก ไปให้พ่อ 100 วัน ที่เชียงใหม่ ก็ปรากฎว่ามันยังไม่แก่พอดี เอาไว้สุกดี กินได้แม่จะเอาไปทำบุญที่วัดทุ่งกราดละกันนะ
เรื่องสุดท้ายที่จะบอกพ่อ ก็คือเรื่องทำบุญร้อยวันของพ่อ (ที่เจ้าอ้วนเล่าไปบ้างแล้ว)
เมื่อเราไปถึงเชียงใหม่วันที่ 20 เมษายน ตอนเช้า หลังจากเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านแล้ว แม่กับลูก(โม่) ก็ออกจากบ้านเพื่อไปงานศพ ลุงมี เพื่อนตาหมาน ซึ่งพ่อก็รู้จักดี เราผ่านไปทางหมู่บ้านโชตนา ก็เลยชวนลูกขับรถเข้าไปเพื่อบอกข่าวเรื่องพ่อให้ "พี่อู้ด" เพื่อนพ่อ (เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวตอนเราแต่งงานด้วยเมื่อ 33 ปีก่อน) ทั้งพี่อู้ดและเจ๊ต้อยตกใจมากเมื่อรับรู้เรื่องการจากไปของพ่อ แม่เองก็ตกใจที่เห็นสภาพเพื่อนพ่อ เขาบอกว่า พ่อเสียวันที่ 13 มกราคม 52 เป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่ในห้องไอซียูเหมือนกัน เพราะผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดหัวใจ... แกผอมกะหร่อง ซูบโซ แต่ใบหน้าก็ยังยิ้มแย้ม พี่อู้ดร่วมทำบุญใส่ซองมาให้พ่อจำนวนหนึ่ง...
หลังจากนั้นเราก็ขับรถเพื่อจะไปวัดหมื่นสาร แต่แอร์เสีย ร้อนมาก เหงื่อโซกทั้งแม่ทั้งลูก ก็เลยโทรไปหา "จุ้ม" ลูกน้องเก่าที่ดีคนหนึ่งของพ่อ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการศูนย์บริการรถยี่ห้อหนึ่งของมาเลเซีย เขาบอกว่า
"เอามาให้ผมดูเลยครับป้า เดี๋ยวผมจัดการให้"
เป็นเวลาพักเที่ยงแล้ว เมื่อเราไปถึงบริษัทที่ดอนจั่น แต่พนักงานส่วนมากก็ยังอยู่ในออฟฟิศ และบริการเราอย่างดี สักครึ่งชั่วโมงผ่านไป อีแก่ก็อยู่ในสภาพพร้อมรบ (หมายถึงรถนะพ่อ ไม่ได้หมายถึงแม่) ทั้งเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เติมน้ำยาแอร์ เช็คเครื่องให้... "ฟรีทุกรายการ" แม่ขอบคุณจุ้ม และรู้สึกขอบคุณพ่อมาก ที่แม้จากไป ก็ยังมีพาวเวอร์อยู่
เราไปงานเผาศพกลับมาแวะหาหลวงพ่อท่านพระครูวิบูลย์ฯ วัดสว่างบันเทิงที่แม่เคยติดต่อปรึกษาเรื่องงานทำบุญ100วัน และเลยถือโอกาสนิมนต์พระไว้ 5 รูป ทางโทรศัพท์ รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง จึงมาหาท่าน แต่ท่านไม่อยู่ รุ่งขึ้นตอนสายๆ จึงไปหาอีกครั้งหนึ่ง
ท่านเมตตาให้ยืมเสื่อใหญ่ 3 ผืน อาสนะ 5 ที่ และผ้าบังสุกุลอีก 4 ผืน ช่วงแดดร่ม แม่ก็เดินไปเชื้อเชิญเพื่อนบ้านใกล้เคียง ให้มาร่วมงานพ่อ เป็นที่น่ายินดีว่าแขกทุกคนที่ไปเชิญ ก็จะมาร่วมงานด้วย แม้ไม่ได้อยู่ฟังสวด เลี้ยงเพลพระ ก็มาร่วม "ฮอมซอง" (ร่วมทำบุญ) แล้วจึงไปทำงาน หรือไปธุระของเขา
งานนี้ถ้าไม่มี "ซองฮอม" (ซองที่ร่วมทำบุญ) ก็คงแย่เหมือนกัน เพราะค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหยียบ 2 หมื่น
วันที่ 22 เมษาซึ่งเป็นวันดา(วันสุกดิบ) ก็มีเพื่อนร่วมวงเก่าของพ่อมาช่วย ขนเต้นท์ เก้าอี้ โต๊ะ ช้อนจาก จากกลุ่มแม่บ้านมาให้ ช่วยกางเต้นท์จัดเก้าอี้ จนมืด แม่เลี้ยงอาหาร และเครื่องดองของเมาไปบ้างแต่ก็มีคนดื่มไม่กี่คน
เขาบอกว่า "เก็บท้องไว้พรุ่งนี้ก่อน ค่อยกินเต็มที่"
และก็เต็มที่จริงๆ เฉพาะค่าเครื่องดอง และ อาหารรวมๆกัน ก็หมื่นกว่า เครื่องบุญอื่นๆ เช่นด้ายสายสิญจ์ ดอกไม้ ธูป เทียน สังฆทาน และใส่ซองถวายปัจจัยพระ ก็มากโข
วันที่ 23 เมษา 2552 ซึ่งครบร้อยวันที่พ่อจากไปพอดี งานทำบุญของพ่อก็ผ่านไปด้วยดีทุกขั้นตอน แขกที่พ่อและเขาควรอโหสิกรรมให้ซึ่งกันและกัน คือ "พ่อหลวงดวงดี ยานะ" ก็มาร่วมงานอยู่บนบ้านช่วยจัดการเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพระสงฆ์ด้วย... นอกจากนี้ ญาติทางบ้านหอพระ ก็มากันเยอะ ทั้งยายชุม ยายนิล ยายจีบ ป้านัน เพื่อนๆแม่ก็มาเยอะ อาจารย์เพ็ญศรี อาจารย์พรรณี อาจารย์ติ๋ว อาจารย์ต๋อย อาจารย์ชล สท.เถาวัลย์ ลดาวัลย์เพื่อนแม่ลูกน้องเก่าๆของพ่อก็มาสิบกว่าคน และที่ต้องกล่าวถึงคือ "พี่ยา" คุณกัลยา ภูมิประภาพงศ์ เพื่อนพ่อก็มากับหลานย่า พ่อ...ญาติทางพ่อก็มา... 1 คน คือน้องแดง น้องสุดท้องพ่อจ๊ะ (ใครที่มางานแล้วแม่ไม่ได้เอ่ยชื่อก็อย่าโกรธกันนะ นึกไม่ออกจ๊ะ)
แต่ที่พูดให้พ่อฟังเรื่องเงินค่าใช้จ่ายเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งแขกพ่อ ไม่ได้หมายความว่าเสียดาย หรือไม่เต็มใจนะ แต่บอกเพื่อให้พ่อรู้ว่า เราแม่ลูกทำทุกอย่างตามประเพณี และตามธรรมเนียมทุกอย่าง เพื่อให้พ่อไปดี
ท่านพระครูฯ บอกว่า โกศกระดูก จะเอาไปเก็บไว้...
- ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดใดก็ได้
- จุดเป็นพลุให้แตกหายไปเป็นธุลีในอากาศ
- ไว้ในวัดที่พ่อเคยบวช(วัดพระธาตุดอยสุเทพ) หรือ
- เก็บไว้ที่บ้านเพื่อให้ลูกหลาน กราบไหว้บูชา ก็ได้
พ่อก็คงเดาถูกนะ ว่าแม่และลูกๆ เห็นตรงกันข้อสุดท้าย ว่าเอาเก็บไว้ที่บ้านเดิมของเรา (แม่ริม) และวันนี้แม่ก็หวังว่าพ่อคงอยู่อย่างสงบสุขที่นั่น
ที่บ้านแม่ริม มีน้องเม ลูกสาวเรา และปู ลูกเขย อยู่กันเพียง 2 คน พ่อก็คงไม่รู้สึกอึกทึกอะไรมากมาย ส่วนน้องม่อน เจ้าตัวเล็ก ถึงแม้จะอยู่กับป้าแอ๊ด ดูแล ลุงหมานที่สุขภาพไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่นัก ก็จะมาบ้านแม่ริมทุกวันหยุดทำงานของเขา
ขอให้พ่อช่วยดูแลบ้าน ดูแลลูกๆ และหลานที่กำลังจะออกมาดูโลกอีก 2 เดือนข้างหน้า และขอช่วยเอาโชคลาภมาให้พวกเราด้วยนะ
พ่อ.. แม่ยังอยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหมือนเดิมจ๊ะ
ขอให้พ่อมีความสงบสุขในสัมปรายภพ... หากชาติหน้ามีจริง เราจะกลับมาอยู่ร่วมกันอีก
พ่อคงจำได้วันที่ 14 มกราคม 2552 แม่รดน้ำที่มือพ่อเป็นคนสุดท้าย ที่ศาลาวัดทุ่งกราด ชลบุรี และกระซิบบอกพ่อว่า...
"ชาติหน้าเราจะพบกันใหม่นะ"
แม่และลูกๆ
30/4/2552








วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

28 เมษายน ครบรอบ 59 ปี พระราชาภิเษกสมรส

ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย อันมีพระสยามเทวาธิราชเป็นต้น โปรดอวยพระพรให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเกษมสำราญตลอดนิรันดร์กาล เทอญ...

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ