วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

จดหมายถึงคุณตา ฉบับที่ 3




พ่อ... ใครบ้าง...มางานพ่อ

แม่ลืมเล่าให้พ่อฟังเรื่องญาติพี่น้องของเราที่มางานของพ่อ ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีใครมา เพราะพ่อมาหยุดลมหายใจเสียไกลจากเพื่อนฝูงพี่น้อง แต่หลวงตาบอกว่า นึกไม่ถึงเลยคนต่างถิ่นแท้ๆ มาตายที่นี่ คนมางานเยอะจนไม่มีที่จอดรถ ป้ายทะเบียน เชียงใหม่ เชียงราย สุพรรณ กรุงเทพฯ ชลบุรี แม่ก็ปลื้มแทนพ่อ วันนี้เอารูปญาติๆ พี่น้องลูกหลาน มาลงก่อนนะ มีป้าศิริพร, โกจุก, ป้าเล็ก, เจ้าต้น, อี๊แดง, เจ้าติ๊ก, หนูปุ้ย, เจ้าป๊อก น้องหญิง แต่อี๊แดงไม่มาถ่ายรูปด้วยนิ แล้วเห็นพระรูปหล่อนั่นไหม นายม่อนลูกรักพ่อไง เออๆ..พ่อดูรูปละกันนะ เดี๋ยวส่งอีเมล์ไปให้ดู พรุ่งนี้เล่าใหม่นะ ไปนอนก่อน
แม่

อ้วน ลูกสุดท้องของพ่อ....




เท่าที่แม่จำได้ เราเลี้ยงหมา แมว มามากมายหลายรุ่น แต่ไม่มีตัวไหนจะสนิทชิดเชื้อกับพ่อราวกับเป็นลูกจริงๆ เท่ากับ "เจ้าอ้วน" หรือบางทีเรามักจะเรียกมันอย่างล้อเลียนว่า "อาอ้วง" ขอเล่าเรื่องมันหน่อยนะ

อาอ้วง เป็นสุนัขผสม พ่อมันเป็นเทอเรีย ชื่อไอ้แบ้งค์ เป็นสุนัขแสนซื่อของผู้พันทหาร บ้านตรงข้ามกับเรา ที่มันหนีออกจากบ้านมาหาแม่ของอ้วน
ส่วนแม่ของอาอ้วง เป็นพันธ์ผสมบางแก้วกับเยอรมันเชฟเพิร์ด ชื่อ มะหมี่ (มันก็เลยมีหลายพันธ์ในตัว) เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550 ที่เชียงใหม่ มันมีพี่น้อง 5 ตัว จำหน่ายจ่ายแจกไป เก็บไว้ตัวหนึ่งเพราะลักษณะมันแปลกไม่เหมือนตัวอื่น พอเราย้ายมาอยู่ชลบุรีเมื่อ 12 กรกฎาคม 51 อาอ้วงได้ขวบครึ่ง เราเอามันติดสอยห้อยตามมาอยู่ด้วย เพราะพ่อขู่โม่เอาไว้ว่า "ถ้าไม่ให้เอาอ้วนมาด้วย พ่อก็ไม่มา" เฮ้อ...
นึกถึงวันที่เดินทางมา ม่อนเป็นคนขับรถให้ ข้าวของเต็มรถจนขยับแทบไม่ได้ อาอ้วงตื่นเต้นมาก ไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ตั้งแต่ออกจากเชียงใหม่ จนถึงนครสวรรค์ ถ้าจะทนหิวไม่ไหว ก็เลยซัดทั้งข้าว ทั้งน้ำ
มาอยู่ที่ชลบุรีเหมือนคุณหนู จูงไปเบาไปหนักทุกวัน วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น (ปกติมันวิ่งไปฉี่-อึ เองตอนอยู่เชียงใหม่) เพราะที่นี่ หมาเยอะ และเป็นบ้านจัดสรรค์ที่รั้วเตี้ย มันสามารถกระโดดขึ้นไปยืนยิ้มบนรั้วเลย พ่อก็เลยต้องจูงไป (เดี๋ยวนี้กลายเป็นแม่บ้าง โม่บ้าง ที่เป็นพนักงานจูงหมาไปขี้) นี่ยังกังวลว่า ต่อไปจะเอามันไปฉี่ ไปอึที่ไหน เพราะบ้านขึ้นเกือบเต็มโครงการแล้ว กลุ้มจังพ่อ ช่วยคิดหน่อยสิ
วันที่ 10 มกรา 2552 วันที่พ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล อาอ้วงไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ จนถึงวันที่ 16 เดินโซเซ ตามหาพ่อ เราขับรถมาจอดมันก็เดินวนรอบรถ มองหาพ่อ...ซึมเศร้า...หางตก ไม่กระดิกให้เราเลย
เรานึกว่ามันจะไม่รอดแล้ว... ไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันกินข้าว โม่ก็เลยตัดสินใจจุดธูปบอกพ่อคืนวันที่ 16 ที่ศาลาวัด ก่อนกลับบ้าน ว่า.."พ่อช่วยไปบอกอาอ้วงกินข้าวด้วยนะพ่อ"
ไม่รู้ว่าพ่อมาบอกมันหรือเปล่า เช้าวันที่ 17 ก็เริ่มกินไก่หน่อยนึง และกินข้าวนิดๆ ..
กว่ามันจะเหมือนเดิม โอ้ย เหนื่อยมาก เดี๋ยวนี้มันได้ใจ แต่เราก็รักมัน เพราะสัญญาไว้กับพ่อก่อนพ่อจะจากไป ว่าเราจะดูแลมันอย่างดีเหมือนพ่อดู....วันที่พ่อจากไป อ้วนมีอายุ 2 ขวบ กับ 4 วัน ไม่รู้ว่ามันคิดถึงพ่ออยู่มั้ยหนอ ??
คงมีเรื่องมันมาเล่าอีกนะ...อย่าเพิ่งเบื่อเลย

คุณยายมล

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความหมายดี๊ดี


http://www.youtube.com/watch?ZZSi02uccrc

การฟังเพลง จังหวะ ทำนองเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุด คือความหมายของเพลงต้องดีด้วย.. นี่ในความคิดของคุณยายมลนะ เพลงนี้ความหมายมันมันเป็นสัจธรรมเหลือเกิน ใครอยากฟัง ก็คลิกตามลิงค์ข้างบนนี้นะคะ แต่คุณยายเอาเนื้อเพลงมาให้ดูค่ะ ซึ้งๆๆๆ

Eclipse
All that you touch ..........All that you see......... All that you taste ..............All you feel. ................ All that you love ..............All that you hate .................All you distrust............. All you save........... All that you give........ All that you deal ...............All that you buy, beg, borrow or steal. .......... All you create ..........All you destroy .............All that you do ..............All that you say. ............ All that you eat .......And everyone you meet .........All that you slight .......And everyone you fight. All that is now ...................All that is gone .............. All that's to come and everything under the sun is in tune but the sun is eclipsed by the moon.

"There is no dark side of the moon really. Matter of fact it's all dark."

คุณยายมล

๙ คำสอนพ่อ




คุณยายมลขออัญเชิญระราชดำรัสสอนในโอกาศต่างๆ มาฝากคุณๆ ค่ะ
๙ คำพ่อสอน
๑. ความเพียร
...การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทนเสียสละ แต่ที่สำคัญที่สุดคือความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อต่อสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตน...
กระแสพระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์
ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖

๒. ความพอดี
...ในการสร้างตัว สร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ทำไม่เกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมี พื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับที่สูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับ ผลที่เกิดขึ้นจึงจะ แน่นอน มีหลักเกณฑ์เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน...
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๐

๓. ความรู้ตน
...เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอทำให้เป็นคนมีระเบียบ และคนที่มีระเบียบดีแล้วจะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญให้แก่ตนเอง แก่ส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน...
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ”วันเด็ก” ประจำปี ๒๕๒๑

๔. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
...คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่า ต่อไปและเดี๋ยวนี้ด้วย เมื่อรับสิ่งของได้มากก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้นให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีในหมู่คณะและ ในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่ เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๑

๕. อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
...ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม...
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๖

๖. พูดจริงทำจริง
...ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำคือ พูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม...
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๔๐
๗. หนังสือเป็นออมสิน
...หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาล จนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้ และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๔

๘. ความซื่อสัตย์
...ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาดที่เจริญมั่นคง...
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ”วันเด็ก” ประจำปี ๒๕๓๑

๙. การเอาชนะใจตน
...ในการดำเนินชีวิตของเราจะต้องข่มใจ ไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่ว ว่าเสื่อม เราต้องฝืน ต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่าง ที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้องและเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ
พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ
ครั้งที่ ๑๒ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๓

จดหมายฉบับที่ 2 ถึงคุณตา


พ่อ...

แม่ว่าจะเขียนจดหมายถึงพ่อก่อน แล้วจะไปอาบน้ำ เข้านอนละ
วันพรุ่งนี้ จะครบ 2 เดือนที่พ่อจากไป มีภาพเก่าๆ เข้ามาในห้วงความคิดเสมอ และเป็นภาพที่ทำให้เกิดความสงสารพ่อขึ้นมาทันที ยกตัวอย่าง สัก 2 เคส ก็พอละ
เช้าวันหนึ่งเมื่อสัก 2 ปีก่อน แม่ไปซื้อของที่ตลาด และทำกุญแจรถตกลงไปในท่อระบายน้ำริมถนน หน้าเซเว่นตลาดแม่ริม แม่โทรไปบอกพ่อ พ่อขอหนุ่มผินข้างบ้านมาด้วย ผินขับรถมาส่ง ผินตัวโต กำยำ งัดฝาท่อระบายน้ำออก พ่อหย่อนตัวลงไป ลึกสักประมาณ 2 เมตร น้ำสูงถึงตาตุ่ม อะไรไม่ว่า ... น้ำเน่า ดำ เหม็นด้วย แม่อยู่ปากท่อ คอยบอกตำแหน่งที่กุญแจหล่น พ่อก็ควานๆๆๆ นายเชียวกว่าจะเจอ แล้วพ่อก็ไม่ต่อว่าอะไรเลย...พ่อจำได้ป่าว
อีกเรื่องก็เป็นตอนที่เรามาอยู่ชลฯ แล้ว เรื่องของเรื่องก็คือ สายหน่อยพ่อจะต้องแอบไปกรึ๊บที่ร้านช่างแซ ลูกสาวช่างแซขายน้ำแข็งไสอร่อยมาก พ่อกรึ๊บ 2 เป๊ก ก็ลดความผิด(ที่แอบไปกินเหล้า)โดยการซื้อน้ำแข็งไสมาให้แม่ วันนั้นพ่อตัดหญ้าหรือทำงานบ้านอะไรสักอย่างจำไม่ได้ละ แต่เสื้อกล้ามสีขาวที่พ่อใส่อยู่มันมอมแมมมาก พ่อเดินมาเอาถ้วยน้ำแข็งไสใส่ที่พุงเอาเสื้อมอมๆ คลุมเดินมา สัก 200 เมตร ได้ พ่อบอกว่า กันฝุ่นจะลงถ้วยน้ำแข็งไส ... คิดดูเถอะ กลัวฝุ่นจากถนนลงจับของกิน แล้วไม่กลัวฝุ่นที่ติดเต็มเสื้อมันจะตกลงไปบ้างหรือ.. ทั้งขบขัน ทั้งโกรธนิดๆ แต่แม่ก็ยังจำภาพนั้นได้ดี
แม่ไปนอนก่อนนะ... แล้วจะเขียนมาหาอีก

รัก
แม่

ของฝากจากคุณยาย


กระชายทำน้ำปั่นรักษาโรค
ไม่ใช่ยาผีบอกนะคะ มีผู้รู้แนะนำมา ลองทำและดื่มชิมดู รสชาดก็โอเค สรรพคุณก็น่าจะโอเคด้วยนะ แต่เรื่องผมหงอกนี่ ไม่รับรองนะ เพิ่งย้อมเมื่อวานนี้เอง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ้า...

วิธีทำ
เอากระชายที่เป็นหัวสดจำนวน 1 ขีด ล้างน้ำให้สะอาด ปั่นด้วยเครื่องให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวคั้น 2 ผล ผสมลงไปคนให้เข้ากัน ดื่มได้เลย หรือจะแช่ให้เย็นก่อนก็ได้ ดื่มได้วันละ 1-3 แก้ว ไม่มีอันตราย

สรรพคุณ
ช่วยบำรุงกระดูกเพราะมีแคลเซี่ยมสูง ช่วยบำรุงสมองทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น
ปรับสมดุลฮอโมน ปรับสมดุลความดันโลหิต ความดันโลหิตสูงก็จะลด ความดันต่ำก็จะสูงขึ้นเอง ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ บำรุงมดลูก แก้ปัญหาผมหงอก อาการกระเพาะปัสสาวะเกร็ง (ซึ่งกรณีนี้อาจใช้เม็ดบัวต้มกินก็ได้) ช่วยควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต และแก้ปัญหาไส้เลื่อนได้ด้วย

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความฝันสำคัญไฉน ?

ความฝัน ( DREAM )

อานุภาพความฝัน ....ถ้าท่านฝันในคืนต่อไปนี้...

· ขึ้น 1 ค่ำ ธรรมดาเป็นความฝันดีเสมอ หากฝันดีก็จะได้ดี ตามฝัน หากฝันร้ายผลร้ายก็จะบรรเทา ไม่ร้ายเท่าฝันใน วันอื่นๆ
· ขึ้น 2, 3, 5 ค่ำ และแรม 3, 6 ค่ำ เป็นความฝันที่เชื่อถือ ไม่ได้ ฝันดี ฝันร้ายก็จะไม่เป็นไปตามฝัน
· ขึ้น 4, 7, 8,10 ค่ำและแรม 1 ค่ำ ฝันจะเป็นจริงตามคำทำนาย
· ขึ้น 6 ค่ำ ตัวความฝันเองไม่แปลว่าดีหรือร้ายประการใดและ อยู่ในความฝันที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ความฝันที่ฝันในวันนี้ผู้ฝันจะ ต้องปกปิด จะเป็นความฝันร้ายที่สุด ถ้าเอาไปเล่าให้ใครฟังจะ เคราะห์ร้าย
· ขึ้น 9 ค่ำและแรม 7 ค่ำ ฝันจะเป็นจริงตามคำทำนาย และเป็นจริงเร็วด้วย
· ขึ้น 11 ค่ำ ฝันจะเป็นจริงตามคำทำนายแต่ต้องรอไปอีกหลายวันภายหลัง
· ขึ้น 12 ค่ำ ความฝันจะตรงกันข้ามหมด ฝันดีจะกลายเป็นร้าย ฝันร้ายจะกลายเป็นดี
· ขึ้น 13 ค่ำ ฝันจะเป็นจริงเรื่องเดียว คือ เรื่องการแต่งงาน นอก นั้นเชื่อถือไม่ได้เลย
· ขึ้น 14 ค่ำ ความฝันจะเป็นจริงตามคำทำนายแต่ต้องรอไปอีกนาน
· ขึ้น 15 ค่ำ ความฝันจะเป็นจริง ใน 10 วันข้างหน้านับจากวันที่ฝัน
· แรม 2, 8 ค่ำ ฝันจะเป็นจริง ใน 3 วันนับจากวันฝัน
· แรม 4 ค่ำ ฝันดีหมดทุกฝัน แม้ฝันร้ายก็จะกลายเป็นดี
· แรม 5, 9 ค่ำ ฝันจะเป็นจริง ใน 4 วันข้างหน้า
· แรม 10ค่ำ ฝันจะเป็นจริง และจะได้ข่าวใน 8 วัน
· แรม 11 ค่ำ เป็นฝันที่เตือนให้ระวังตัว
· แรม 12 ค่ำ เป็นความฝันที่บอกข่าวดีสำหรับอนาคตของผู้ฝัน
· แรม 13, 14 ค่ำ ฝันจะเป็นจริง และเป็นผลดีเสมอ
· แรม 15 ค่ำ ไม่ว่าฝันดีหรือร้ายจะเป็นจริงตามคำทำนายในวันนั้นเอง
ฝันถึงสัตว์ต่างๆ ต่อไปนี้ กับ คำทำนายตัวเลขเสี่ยงโชค

มังกรบิน 01 ,95 หงส์ 02, 53 กิเลน 03,52
นกยูง 04, 65 สิงโต 05, 89 นกอินทรี 06, 91
เสือโคร่ง 07, 58 นกกระเรียน 08,57 เสือดาว 09, 87
นกกาเหว่า 10, 82 ช้าง 11, 77 ห่านฟ้า 12, 69
กวางดาว 13, 79 นกขมิ้น 14, 96 ม้า 15, 54
นกนางแอ่น 16,74 วัว,วัวกระทิง 17, 88 เป็ด,เป็ดแมนดาริน 18, 78
แพะ 19, 62 กา 20, 72 ลิง 21, 93 นกกระทา 22, 70
หมูป่า 23, 84 นกพิราบ 24, 66 สุนัขขาว 25, 85
นกกระจาบ 26, 90 แมว 27, 61 ค้างคาว 28, 68
สุนัขจิ้งจอก 29, 63 ไก่, ไก่ขัน 30, 99 สุนัขป่า 31, 94
นกกระจอก 32, 60 กระต่าย, งู 33, 86 คางคบ, กบ 34, 73
หนู 35, 75 ตะขาบ 36, 83 ปลาวาฬ 37, 59
แมงมุม 38, 67 จระเข้ 39, 55 แมลงปอ 40, 76
ปลาฉลาม 41, 56 จิ้งหรีด 42, 97 ปลาเงิน-ทอง 43, 71
แมวน้ำ(นาก) 44, 81 กุ้ง, กุ้งนาง, ก้ามกราม 45, 51
ปู 46, 64 ผีเสื้อ 47, 92 ผึ้ง 48, 00 จักจั่น 49, 80
หอยขม,หอยโข่ง 50, 98

จะฝันดี หรือฝันร้าย ตื่นขึ้นมา ตั้งนะโม 3 จบ แล้วสวดมนต์สั้นๆ ดังนี้
พุทธัง นิมิตตัง ธัมมัง นิมิตตัง สังฆัง นิมิตตัง

คุณยายมล





ขอ.......







กลอนบทนี้เขียนเมื่อเกือบ 11 ปีที่แล้ว มีแรงบันดาลใจมาจากการที่ลูกคนโตเริ่มท้อต่อการเรียน จากที่เคยเรียนมาได้เกรด 3 กว่าๆ พอมาเรียนวิศวะ เกรดลดลง เหลือ ไม่ถึง 2 ก็ยังมีบางเทอม ยายมลก็เลยส่งไปให้เขา... ไม่รู้ว่าเพราะกลอนบทนี้หรือเปล่า ทำให้ลูกเรียนจบ ปัจจุบันเป็นวิศวกร...เล็กๆ คนหนึ่ง

ความหวังแม่ริบหรี่ลงกี่ครั้ง
แม่ก็ยังยืนหยัดกัดฟันสู้
เหงื่อที่โลมไหลหลั่งลงพรั่งพรู
ขอให้รู้..เพื่อความสุขของทุกคน

บางครั้งท้อต่อเหตุการณ์ที่พานพบ
อยากหลีกหลบลี้หายไปกลางหน
ความเป็นแม่เตือนใจให้อดทน
พร้อมผจญภัยพาลที่ราญรอน

ถามตนเอง..ว่าเหนื่อยไหมในวันนี้
ตอบทันทีว่าเหนื่อยมากอยากพักผ่อน
ถามว่า..หากแม่หยุดทรุดร่างนอน
ใครจะคอนหาบนี้ไปให้สุดทาง ?

จะเหนื่อยยากอย่างไรไม่ขอหยุด
เพราะว่าจุดมุ่งหมายยังไกลห่าง
แต่เมื่อฝันนั้นชัดใสไม่เลือน ลาง
จะขาดกลางไม่ได้...ขอให้รู้

ลูกจงช่วยสานฝันให้บรรเจิด
ไม่ต้องถึงกับเพริศหรือเลิศหรู
ขอเพียงฟ้าที่ลูกเห็นเป็นสีชมพู
แม่จะสู้..ยิ้ม..หวังทั้งน้ำตา

ขอให้มีพลังสร้างความฝัน
ขอให้วันที่มุ่งมาดสมปรารถนา
ขอให้คิด..”ใครอยู่หลัง” คอยตั้งตา
ขอกลับมาพร้อมศักดิ์ศรีที่ดีงาม...

23 พ.ค.2541
คุณยายมล

การสะเดาะเคราะห์

คนไทยเรานั้นเชื่อถือเรื่องโชคลางและบาปกรรมกันมาเป็นเวลานานมาแล้ว ส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าเมื่อเรามีเคราะห์หรือทุกข์ร้อนต่างๆ นาๆ วิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาสิ่งเลวร้ายต่างๆ ให้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง ก็คือการไปทำบุญ เข้าวัดเข้าวา และที่ขาดไม่ได้สำหรับคนไทยในสมัยก่อนนั้นก็คือการสะเดาะเคราะห์
แต่การสะเดาะเคราะห์ดังกล่าวนี้ มีมากมายหลายอย่างที่เป็นสิ่งสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน บางครั้งเราเองก็เคยไปสะเดาะเคราะห์โดยการปล่อยสัตว์ต่างๆให้เป็นอิสระ แต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลแก่ตัวเราอย่างไร ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการสะเดาะห์เคราะห์เพื่อผลบางอย่างเราจะต้องทำอย่างไร ลองอ่านบทความข้างล่างดู แล้วคุณจะทราบถึงเหตุผลที่คุณเองอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน
การทำบุญโดยปล่อยสัตว์ต่างๆ
1. การปล่อยปลาไหล เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้การกระทำใดๆ หรืองานบางอย่างที่เรามุ่งหวัง ราบลื่น ลื่นไหลเหมือนดังชื่อของปลาไหล ไม่มีติดขัด และอุปสรรคใดๆขัดขวาง
2.การปล่อยเต่า เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ตนหรือใครบางคนที่เราอธิษฐานถึง มีอายุมั่นขวัญยืน หรือถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ก็ขอให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นๆ
3. การปล่อยหอยขม เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ความทุกข์ ความขมขื่นที่เป็นอยู่ และเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับตัวเองจง หมดไป หรือหายไปพร้อมกับหอยขมที่เราปล่อยไป
4. การปล่อยนก เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ตัวเราจงพ้นจากความทุกข์ที่ผูกพันอยู่ในชีวิต พ้นจากปัญหา หรือเคราะห์ร้ายใดๆ ที่เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณของคุณให้เป็นทุกข์ ไร้อิสระ การปล่อยนกเป็นเสมือนกับการขอให้ตนได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
5. การปล่อยปลาทั่วๆไป เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้มีความสุขร่มเย็นในชีวิต ทุกข์ใดๆที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ ขอให้หมดสิ้นไป แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณทำบุญโดยการซื้อสัตว์อะไรมาปล่อยก็ตาม คุณก็จะได้ผลบุญหนุนนำให้ชีวิตรุ่งเรือง หมดเคราะห์หมดโศกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อน หรือปรารถนาถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ ก็ลองทำตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเหล่านี้ดู เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สร้างความสบายใจให้เกิดขึ้นแก่ตัวคุณได้
การทำบุญเพื่อสะเดาะเคราะห์แบบเฉพาะกิจ การทำบุญเพื่อสะเดาะเคราะห์แบบเฉพาะกิจ หมายถึงการทำบุญเมื่อตัวคุณเองกระทำบาปบางอย่างขึ้นในอดีต แล้วต้องการจะสะเดาะเคราะห์เพื่อผ่อนทุกข์เหล่านั้นจากหนัก ให้ผ่อนคลายเบาบางลง ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่คนโบราณถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
คนแท้งบุตร การทำแท้งเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นการทำบาปอย่างมหันต์ เชื่อกันว่าผู้ที่ไปทำแท้งมานั้นชีวิตจะตกต่ำย่ำแย่ มีแต่เรื่องทุกข์ร้อนหรือไม่ก็จะพบกับช่วงชีวิตที่ลำบาก ไม่อาจจะเจริญรุ่งเรืองได้สักที เหมือนกับจะมีอะไรคอยมาถ่วงอยู่ และจะล้มลุกคลุกคลานไปนานถึง 7 ปีทีเดียว แต่ก็มีความเชื่อกันอีกว่า คุณสามารถสะเดาะเคราะห์เรื่องราวดังกล่าวเพื่อให้ผ่อนคลายเบาบางลงไปได้บ้างโดยมีวิธีดังต่อไปนี้... ไปซื้อปลาในตลาดสด แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำ อย่าปล่อยในบึง คลองเล็ก จะกี่ตัวก็ตามแต่กำลังทรัพย์ ต้องปล่อยปลาให้ครบตามอายุของตน ต้องนับจำนวนปลาแยกกับอีกฝ่ายหนึ่ง เช่นถ้าภรรยาอายุ 25 ปี สามีอายุ 30 ปี ก็แสดงว่าคุณทั้งคู่จะต้องปล่อยปลาทั้งสิ้น 55 ตัว คือฝ่ายหญิงปล่อย 25 ฝ่ายชายปล่อย 30 การทำบุญดังกล่าวไม่กำหนดระยะเวลา คุณจะทำให้เสร็จภายใน 1 เดือน 6 เดือนหรือ 1 ปี ก็ได้ ถ้าทำครบโดยเร็วก็จะหมดเคราะห์ได้เร็วเช่นกัน
คนทำร้ายผู้อื่นให้ตายหรือพิการ สำหรับผู้ที่กระทำผิด โดยทำให้ผู้อื่นพิการ หรือตายโดยที่มิได้ตั้งใจ(รวมถึงสัตว์ต่างๆ) เช่นขับรถชนคนโดยไม่ได้เจตนา จนทำให้เขาผู้นั้นต้องพิการ หรือถึงกับเสียชีวิตก็ตาม การกระทำดังกล่าวถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจตนาก็ตาม แต่ก็จะมีผลทางบาปกรรมได้เช่นเดียวกัน การจะสลัดบาปเคราะห์เหล่านี้ หรือผ่อนหนักให้เป็นเบาได้นั้น คนโบราณมีความเชื่อให้กระทำดังนี้.. ไปไหว้พระ ให้ครบ 7 วัด และนำน้ำมนต์ของ วัดนั้นๆ มารดศีรษะ และอาบทั้งร่างกาย เติมน้ำมันตะเกียงตามวัดต่างๆให้ครบ 7 วัด ทำบุญปล่อยเต่า ให้ครบเท่าอายุของตน ถือศีลกินเจอย่างน้อย 29 วัน สิ่งต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนหนึ่งที่ ตกทอดกันมาแต่โบราณกาล ไม่มีใครสามารถจะยืนยันได้ถึงผลที่จะตามมาหลังจากที่คุณได้กระทำตามความเชื่อเหล่านี้แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่คุณจะได้รับก็คือการกระทำที่เสริมสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นแก่ตัวคุณเอง เพื่อดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคงในอนาคต

เก็บตกมาจากเว็บหนึ่ง จำไม่ได้แล้วค่ะ เพราะนานแล้ว ขอโทษเจ้าของบทความเป็นอย่างสูงด้วยนะคะ /ยายมล

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

จดหมายถึงคุณตา .. ฉบับแรก







พ่อ...

แม่ยังไม่รู้เลยว่าจะส่งจดหมายฉบับนี้ให้พ่อที่ดาวดวงใด...แต่แม่ก็อยากบอกเล่าเรื่องราวและ ความรู้สึกต่างๆตั้งแต่วันที่พ่อเข้าโรงพยาบาล จนถึงวันสุดท้ายของพ่อ พ่อจากไปครบ 57 วันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพ่อไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ตรงนี้ เพียงแต่ไม่อาจสัมผัสได้...
เราอยู่ด้วยกันมานาน 32 ปี (ขาดไป2 วัน เพราะเราจะครบรอบแต่งงาน 32 ปีวันที่ 15 มกราคม) และก็จะยังคงอยู่ด้วยกันตลอดไป แม้เป็นเพียงความรู้สึก...

แม่จะบอกพ่อนะ ตั้งแต่วันที่พ่อป่วย........

10 มกราคม 2552
เช้าวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2552 พ่อตื่น 6 โมง ซึ่งสายกว่าปกติที่เคยตื่น คือ ตีสี่ หรือตีห้าเป็นอย่างช้า พ่อบอกว่า คืนนี้นอนหลับสบายเหลือเกินจนไม่ยอมตื่น และยังแซวแม่ว่า อาจเป็นเพราะคนที่นอนใกล้ๆ ไม่ส่งเสียงกรน ถ้าเป็นวันอื่นแม่จะฉุนที่พ่อพูดถึงเรื่องแม่นอนกรน แต่วันนี้แม่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่โกรธ เฉยๆ และก็ไม่ตอบโต้อะไร

พ่อขี่มอไซไปกดน้ำดื่ม และแอบกรึ๊บตามปกติเช่นทุกวัน วันนี้เป็นวันพระ ได้แผ่นปลิวสวดมนต์มาด้วย สายหน่อยก็พาเจ้าอ้วนหมาตัวโปรด (ลูกสุดท้อง) ออกไปเดินเล่นตามถนนในหมู่บ้าน กลับมาบ้านมานั่งที่บันได (ท่าทางเมานิดๆ) นั่งสวดมนต์ให้อ้วนฟังจนจบ 2 หน้า สักพักพ่อก็บอกหิว แล้วก็ตักข้าวราดกับมานั่งทาน อาหารเช้าวันนี้คือมื้อสุดท้ายของพ่อ มีน้ำพริกอ่องฝีมือพ่อเอง ผัดดอกหอมใส่ไข่ และแกงจืดวุ้นเส้น
แม่นั่งหน้าคอมฯ แปลงานให้น้องโบ พ่อเข้ามานอนที่โซฟา ไม่หลับแต่ดูทีวี.หน้าตาไม่สดชื่นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เครียด สัก 10 โมงพ่อก็เดินเข้าห้องนอนไป แม่เข้าใจว่าพ่อคงไปนอนหลับในห้อง เพราะวันนี้ลมแรง อากาศหนาวติดต่อกันมา 2 วันแล้ว แต่เกือบครึ่งชั่วโมงพ่อก็ออกมาถามว่าบ้านเรามียาระบายไหม แม่บอกว่าไม่มีมีแต่แอนตาซิล พ่อตอบว่า ไม่ใช่ท้องอืด มันอยากถ่าย ปวดถ่าย แต่ไม่ยอมออก แม่คิดว่าพ่อคงไม่เป็นอะไรมาก ก็เลยบอกให้ออกไปซื้อยาระบายที่ร้านในตลาดสี่มุมเมือง แต่พ่อบอกว่าไม่อยากไป ปวดท้อง ขอให้แม่ออกไปซื้อให้ คำตอบพ่อ แม่รู้ทันทีว่าพ่อเป็นมาก เพราะโดยปกติ พ่อจะชอบออกไปซื้อของนอกบ้าน ชอบไปเดินตลาด

แม่ไปซื้อยาระบายที่ร้านขายยาตลาดโรงโป๊ะ กลับมา 11.45 น. เภสัชกรบอกว่าให้ทาน 2 เม็ด ยาจะออกฤทธิ์ตอนค่ำ พ่อกินยาระบาย และ พาราเซทอีก 2 เม็ด เพราะตัวร้อนมาก พ่อพยายามเข้าไปนั่งถ่ายเอาเก้าอี้กลม และหมอนอิงมารองฟุบหน้าอยู่ในห้องน้ำ พ่อนั่งบนชักโครกเป็นเวลานานมาก แต่ก็ถ่ายไม่ออก
แม่พยายามชวนพ่อไปโรงพยาบาล แต่พ่อก็ปฏิเสธ ร้องขอยาระบายอีก แม่เลยต้องเก็บซ่อน จนเกือบหกโมงเย็นพ่อก็ทนไม่ไหว เจ็บปวด เหมือนมีอะไรมาอุดตรงรูทวารหนัก นั่งไม่ได้เลย ต้องใช้ก้นข้างใดข้างหนึ่งนั่งเอียงๆ แม่ชวนไปโรงพยาบาลอีก คราวนี้ไม่ตอบ แสดงว่าไป
แม่จึงโทรบอกลูกที่ทำงาน แม่รีบทำกับข้าวเย็นให้เสร็จ เพราะคิดว่าหลังจากไปโรงพยาบาลกลับมา เราจะนั่งกินข้าวกันพ่อแม่ลูกเหมือนเคย

โม่รีบกลับมาทันที และพาพ่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด คือโรงพยาบาลของสภากาชาด โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เย็นนี้รถติดมาก เพราะเป็นวันเด็ก และมีอุบัติเหตุเล็กๆ ข้างหน้าเราด้วย พ่อนั่งเอียงๆ เจ็บที่ทวารหนัก โม่พูดตลอดเวลาว่า พ่อทนหน่อยนะ ทนไหวไหม ... ..........เราไปถึงโรงพยาบาลเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ

เราอยู่กับพ่อที่ ร.พ.สมเด็จฯ เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ไม่ได้กินยาแก้ปวด หรือทำวิธีใดให้ถ่ายได้ นอกจาก เจาะเลือดไปตรวจ, ขอปัสาวะไปตรวจ, ฉายเอ็กซเรย์ ช่วงนี้ยาระบายคงออกฤทธิ์ พ่ออยากเข้าห้องน้ำบ่อยมาก โม่เข็นทั้งเตียงพาพ่อเข้าส้วม ลำบากมาก เพราะมีถุงน้ำเกลืออยู่ด้วย กางเกงพ่อเลอะอึ (ที่มีแต่น้ำ ไม่มีกาก) จนต้องขอกางเกงของ ร.พ. มาใส่
ในที่สุดผลจากฟิล์มเอ็กซเรย์ออกมา หมอก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นอะไร เพราะเขาบอกว่าฟิล์มไม่ชัด ต้อง Scan computer แต่ที่นี่ก็ไม่พร้อมทั้งเครื่องและคน อย่างไรก็ตามหมอให้งดอาหารและน้ำทันที
หมอให้เราพาพ่อที่กำลังเจ็บและอยู่ในสภาวะอ่อนล้า นั่งรถไปที่โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เพื่อไปสแกนคอมที่นั่น แล้วเอาพ่อกลับมาที่เดิมพร้อมฟิล์ม แม่ว่ามันคงทรมานมากที่พ่อต้องนั่งเอียงๆไป-กลับอีกหลายกิโล จึงปรึกษาลูกว่าเราขอประวัติการรักษาที่นี่ แล้วไปรักษาต่อที่ พญาไทฯดีไหม โม่เห็นด้วย เราจึงขอยืมประวัติ และฟิล์มเอกซเรย์ เพื่อไปรักษาที่พญาไทฯ หมอโทรติดต่อให้ และให้รถของพญาไทฯมารับในอีก 20 นาที
โม่ไปชำระเงิน เกือบพันบาท สักครู่เดียวรถโรงพยาบาลพญาไทฯก็มารับ แม่นั่งไปกับพ่อในรถ โม่ขับรถตามมา พ่อหนาวและปวดท้องมาก มือเย็นเฉียบ แต่พ่ออดทน ไม่พูดอะไร นานๆ จะครางสักที
พอมาถึงโรงพยาบาลพญาไทศรีราชาในอีก 15 นาทีต่อมา เราก็เห็นความแตกต่างของการให้บริการและรักษา(ที่นี่เป็นของเอกชน) ไม่กี่นาที พ่อก็ถูกนำตัวไป รอคิวเพื่อ Scan computer ขณะนั้นเป็นเวลา เกือบเที่ยงคืนแล้ว
เราได้ห้องพิเศษชั้น 10ห้อง 4 (คืนละ 3,700 บาท ถูกที่สุดของโรงพยาบาลนี้) โม่วางเงินไว้ล่วงหน้า 20,000 บาท ก่อน หากขาดเหลือค่อยเพิ่มหรือคืนแล้วแต่กรณี เรานั่ง-นอนรอพ่อ จนตีสอง พ่อก็ถูกพาเข้ามา พ่อรู้สึกตัว แต่อาการแย่มาก อาจารย์หมอณัฐวุฒิเรียกแม่และลูกไปฟังอธิบายผลของฟิล์ม เมื่อเห็นฟิล์มและได้ฟังหมอ ... ความรู้สึกบอกทันทีว่า...เราจะไม่มีพ่ออีกแล้ว...ต่อไปนี้
หมอพูดถึงคำว่าก้อนเนื้อ... คำว่ามะเร็ง... โม่เป็นลมทรุดนั่ง...
มันเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่เท่ากำปั้น งอกติดปลายลำไส้ใหญ่ ปิดรูทวารหนัก มันปิดมิด ซึมได้แต่ของเหลวในจำนวนไม่มาก นี่เองที่ทำให้พ่อถ่ายไม่ออก

หมอบอกว่าต้องผ่าตัดด่วน ผ่าตัดใหญ่ ตัดส่วนที่เป็นปัญหาออก แล้วต้องเอาใส้ออกมาไว้นอกร่างกาย ขับถ่ายข้างนอกทางลำไส้ แล้วเมื่อแผลสะอาดไม่ติดเชื้อ ก็นำกลับไปต่อเก็บเข้าไปตามเดิม หมอถามว่าสู้ค่ารักษา-ผ่าตัด ค่าห้องไอซียูหลังผ่าตัดได้ไหม ...

เลข 6 หลักแก่ๆ เกือบเจ็ดหลัก...

เราสองแม่ลูกตอบทันทีไม่ต้องคิดว่าเราไม่มีเงินมากถึงขนาดนั้น เงินเก็บของลูกก็แค่ไม่ กี่แสน ในที่สุดหมอก็ช่วยเหลือให้ได้รับการผ่าตัดโดยใช้บัตรทองข้ามจังหวัด หมอดีมาก ติดต่อโรงพยาบาลชลบุรี ซึ่งเป็นของรัฐบาล โม่ไปชำระเงินเพิ่ม เพราะค่าใช้จ่าย 4 ชั่วโมงที่นี่ 32,000 บาท แล้วจึงย้ายพ่อไปชลบุรีทันที เราถึงโรงพยาบาลประมาณตีสี่

11 มกราคม 2522
พ่ออยู่ห้องรวม (ศัลยกรรมชาย) ตึกชลาทิศ ชั้น 4 หมอยังคงให้ยาฆ่าเชื้อทางน้ำเกลือต่อไป เพราะหวังว่าจะลดอาการอักเสบและอาการเจ็บปวดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ตอนนี้พ่อยังปวดท้องอยู่ หิวน้ำ ปากแห้ง หมอไม่ให้กินน้ำ จนสายหน่อยน้องกุ้ง (แฟนโจ้ เพื่อนร่วมงานโม่) ที่เป็นพยาบาลที่นี่ ก็แอบให้พ่อจิบน้ำหน่อย พ่อรู้สึกตัวตลอด พยายามขอยาแก้ปวดจากพยาบาล หมออธิบายว่าที่ไม่ให้ยาแก้ปวด เพราะหากคนไข้รับยาแล้วอาการปวดจะทุเลา ซึ่งอาจทำให้หมอไม่สามารถรู้ว่าคนไข้เจ็บจริงมากน้อยแค่ไหน ยาที่ใช้อยู่ได้ผลหรือไม่

พ่อนอนเจ็บจนถึงเวลาบ่าย 2 โมงกว่า หมอก็ตัดสินใจสั่งเตรียมผ่าตัด แต่ความดัน และความเข้มของเลือดพ่อไม่ดีเลย จึงต้องเสียเวลา เติมเกล็ดเลือด และให้ยาเพิ่มความดันอีก รวมทั้งใช้เครื่องช่วยหายใจ เพราะพ่อเหนื่อยหายใจหอบ การเต้นของหัวใจอยู่ที่ 129-130 ครั้งต่อนาที
ช่วงที่หมดเวลาเยี่ยม แม่กับลูก โทรถาม 1672 ว่าที่ชลบุรี เขาไหว้พระที่วัดไหน เขาบอกว่าวัดธรรมนิมิตร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล เราแม่ลูกไปไหว้ขอให้พระช่วยพ่อด้วย... เรากลับมาอีกครั้งประมาณหกโมงเย็นเศษๆ เกือบทุ่ม พ่อก็เข้าห้องผ่าตัด

เรากลับมาบ้าน เพื่อดูแลเจ้าอ้วน และอาบน้ำ เตรียมเสื่อหมอนผ้าห่มเพื่อจะไปนอนที่โรงพยาบาล เนื่องจากมันไกล ใช้เวลาขับรถ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง กลับไปโรงพยาบาลอีกที 2 ทุ่มกว่า ระหว่างขับรถออกจากบ้าน โม่น้ำตาไหลตลอด พูดแต่ว่า อยากให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพ่อ โดยที่หมอผ่าแล้วไม่พบอะไรเลย และ พ่อก็หายเป็นปกติ... กลับไปอยู่กับเราอีก

เมื่อไปถึงขึ้นไปรอพ่อที่ห้อง ไอซียู. ชั้น 6 พอออกลิฟท์มา ก็เห็นเจ้าหน้าที่เข็นพ่อออกลิฟท์อีกตัวออกมาพอดี เราไม่เห็นว่าหน้าท้องพ่อจะมีอะไรวางอยู่ แม่ลูกมองหน้ากัน แล้วก็คิดไปในทางที่ดีว่า พ่ออาจไม่เป็นอะไรอย่างที่โม่ภาวนา...แต่...หมอบอกว่า การผ่าตัดครั้งนี้ ยังไม่ทันได้ทำอะไรกับอวัยวะส่วนไหนในท้องทั้งสิ้น เนื่องจากพบว่ามีน้ำท่วมในช่องท้องและมีการติดเชื้อ เชื้อซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว หมอขอนำน้ำไปเพาะเชื้อสักสามวันจะรู้ผล ตอนนี้เติมเกล็ดเลือดให้อีกเพื่อทำให้เชื้อที่เข้าไปอยู่ในเลือดเจือจางลง แม่ฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจถ่องแท้ แต่ดูจากสีหน้าหมอแล้ว...แม่กลัว !
พ่อยังไม่รู้สึกตัว หมอบอกว่าคงเป็นเช้ามืดพรุ่งนี้ฤทธิ์ยาสลบจึงจะหมด เราก็เลยขนที่นอนกลับไปนอนที่บ้าน หกโมงเช้าค่อยมาใหม่...

กลับมาถึงบ้านแม่รีบโทรหาลูกเม-ม่อนที่เชียงใหม่ ให้รีบเคลียร์งานและลางานนั่งรถทัวร์มาหาพ่อด่วน ไม่ต้องรอแล้ว (เดิมญาติๆจะมาเยี่ยมวันที่ 18 มกราคม) เพราะอาการของพ่อไม่ดีเลย
ลูกๆตกลงจะมาวันที่ 13 ตอนบ่าย เพื่อจะมาถึงชลบุรี ตีสี่ครึ่งของวันที่ 14
ป้าแอ๊ดตัดสินใจนั่งรถทัวร์มากับเม-ม่อนด้วย

หลังโทรหาลูกเสร็จ แม่นอนเคลิ้มๆ ตกใจตื่น เที่ยงคืนพอดี สะดุ้งตกใจ รู้สึกเหมือนพ่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบสว่าง

12 มกราคม 2522
เช้าวันนี้ เราออกบ้านประมาณ 6 โมงเช้า แวะธนาคารกรุงเทพอ่าวอุดม เพื่อโม่จะได้โอนเงินค่าตั๋วรถให้น้อง แม่โทรบอกให้เมโอนชื่อพ่อเข้ามาในทะเบียนบ้านของโม่ เพราะเรายังเชื่อว่าพ่อต้องไม่เป็นอะไรมาก ต้องออกโรงพยาบาลอย่างมีชีวิตแม้จะไม่ปกตินักก็ตาม โอนชื่อมาเพื่อที่จะได้ใช้สิทธิ์บัตรทองในการเข้ารับการรักษาครั้งต่อๆไป เมไปจัดการเสร็จเรียบร้อยตอนสายๆ ของวันนี้
ไปถึงโรงพยาบาลก็ได้เวลาเยี่ยมพอดี พ่อรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังเบลอๆ พูดไม่ได้ เพราะในปากมีท่อเครื่องช่วยหายใจอยู่ หมอบอกว่า พบโรคหัวใจรั่ว ความดันต่ำลง อาการทั่วๆ ไป ยังไม่ดีขึ้นเลย

เรากลับลงมานั่งอยู่ชั้นล่าง รอเวลาเยี่ยมช่วงที่สอง เที่ยงวัน ก็เข้าไปดูอาการยังทรงๆ รู้ตัวแบบเบลอๆ เรากลับออกมารอเยี่ยมอีกครั้ง หกโมงเย็น

เฝ้าดูเข็มนาฬิกาที่เดิน มันช่างช้าไม่ทันใจเราเลย พอหกโมงเป๊ะ แม่กับลูกขึ้นไปที่ไอซียู. น้องกุ้งออกเวรเช้าแล้วตามขึ้นมาด้วย พอถึงหน้าห้อง ไม่เห็นป้ายชื่อพ่อ โม่บอก..ป้ายชื่อพ่อไม่มี
โม่หน้าเสีย แม่มือเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน..ใจหายวาบ... พอน้องกุ้งสอบถามพยาบาลจึงได้ความว่า เขาย้ายไปห้องไอซียูอายุรกรรม เพราะจะได้ไปรักษาหัวใจโดยตรง เมื่อเวลา 15.25 น.

ตามไปที่อายุรกรรมไอซียู แต่เวลาเยี่ยมไม่ตรงกัน ต้องรอหนึ่งทุ่ม แม่อยากพบพ่อมาก ลงทุนโกหกหมอว่าขอเยี่ยมก่อนเพราะจะรีบไปขึ้นรถทัวร์กลับเชียงใหม่...

เมื่อเข้าไป พบหมอพอดี หมอแจ้งว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจในห้องแล็บ พบว่า ขณะนี้อวัยวะภายในทั้งหมดของพ่อ กำลังแย่ ตับวาย ไตวาย หัวใจรั่วและกล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนตายแล้ว ความดันต่ำเฉลี่ยที่ 70 หัวใจเต้นเร็ว 129-150 ครั้งต่อนาที พ่อพยายามพูด จับใจความจากริมฝีปากว่า “ปิ๊กบ้าน ไม่ไหวแล้ว” พยายามจะให้โม่แก้มัดเชือกที่ผูกข้อมือติดกับเตียง แต่เราก็ไม่สามารถเอาออกให้ได้ เพราะกลัวว่าพ่อจะดึงสายต่างๆ ออก หมอจึงต้องพันธนาการพ่อไว้ แม่และลูกก็ได้แต่บอกพ่อว่าให้อดทน เชื่อฟังหมอและพยาบาล เดี๋ยวพ่อก็หายแล้ว น้ำตาพ่อไหล พยายามพูดอะไรจับใจความไม่ได้.. ตัวพ่อเย็นและเหนียว มือบวม

คืนนี้เราแม่ลูกกลับบ้านด้วยอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน น้ำตาลูกไหลตลอดทางขับรถกลับบ้าน แม่จะร้องไห้ไม่ได้แล้ว... เมื่อลูกอ่อนแอ แม่ต้องเป็นหลัก แม่พยายามบอกลูกว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องปกติ หากลูกไม่เข้มแข็งเป็นหลักให้แม่กับน้องแล้ว แม่จะไปพึ่งใคร คำพูดของแม่ทำให้โม่ลดอาการโศกเศร้าลงได้ แต่ก็พูดว่า “ลูกกลัวว่าพ่อจะไม่รอน้อง...”

13 มกราคม 2522
เจ็ดโมงเช้าวันนี้เข้าไปเยี่ยมอาการของพ่อ พยาบาลเข้ามาหาแล้วบอกว่าอาการไม่ดีขึ้นเลย เมื่อคืนอาละวาด จะเตะพยาบาลที่เช็ดตัวให้ด้วยขาที่เป็นอิสระ 1 ข้าง แขนขาและตัวพ่ออุ่น ไม่เย็นเหมือนเมื่อคืน แต่ปลายเท้า ปลายมือ เย็นเฉียบ ประสบการณ์บอกแม่ว่า พ่อคงไม่อยู่กับเราแล้ว
พ่อลืมตา แต่มัวหม่น เหม่อลอยไม่มีจุดหมาย ไม่รู้สึกตัว มีน้ำตาซึมอยู่ที่หางตา โม่พูดอีกว่า
“แม่ ลูกกลัว..ว่าพ่อจะไม่รอน้อง...”

เราออกมานั่งที่ระเบียงหน้าห้องด้วยจิตใจที่เศร้ามากๆ แม่และลูกปรึกษากันว่าตอนนี้เราจะโทรบอกใครบ้าง แล้วแม่กับลูกก็ช่วยกันโทรบอกญาติพี่น้องของพ่อทั้งที่อยู่เชียงใหม่, สุพรรณบุรีและอเมริกา เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาของพ่อเท่าที่นึกออก

หมอเรียกแม่และโม่เข้าไปบอกว่า อาการโคม่าแล้ว หากหัวใจหยุดเต้นจะให้หมอช่วยปั๊มหัวใจหรือไม่ เมื่อสอบถามหมอแล้วทราบว่า ปั๊มหัวใจทำให้ได้ชีวิตคืนมาอีกสักพักแต่เวลาที่ช่วยนั้น พ่อต้องเจ็บหน้าอก จะมีเลือดไหลออกจากจมูก... แม่กับลูกจึงบอกหมอว่าขอให้พ่อไปโดยธรรมชาติสงบๆ

เป็นที่แน่นอนว่าเราจะไม่ได้พ่อคืนมาแล้ว แม่รีบโทรไปบอกป้าแอ๊ด ป้าแอ๊ดก็เลยรื้อกระเป๋าที่จัดแล้ว เอาเสื้อผ้าสีดำใส่แทน ป้าแอ๊ดพร้อมลูกเม-ม่อนจะขึ้นรถเที่ยว 15.30 น วันนี้ ถึงเช้ามืดพรุ่งนี้

เวลาเยี่ยมช่วงบ่าย 14.00 น. แม่กับโม่เข้าไปหาพ่ออีกครั้ง แม่จับมือพ่อและกระซิบบอกพ่อว่า “หากพ่ออยู่แล้วทรมานเหลือเกิน ก็ขอให้พ่อไปเถิด จงคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่พ่อเคยทำมาตลอดชีวิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งเลวร้ายต่างๆ อย่าคิดถึงมัน อย่าเอาติดตัวไป แต่ถ้าพ่อจะรอพบลูกก็ไม่เป็นไร แต่หากทนไม่ไหวก็ไม่ต้องรอ แม่จะบอกลูกเอง ลูกเราเป็นคนดีทุกคน พวกเขาเข้าใจพ่อ ไม่ต่อว่าพ่อหรอกที่พ่อไม่รอ....และพ่อก็ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ลูกโตแล้ว เรียนจบทุกคน ทำงานทุกคน และรับรองว่าโม่ไม่ทิ้งน้องกับแม่หรอก ” แม่เห็นน้ำตาพ่อคลอ หรือเป็นอุปาทานของแม่ก็ไม่รู้

เราออกมานั่งหน้าห้อง คิดว่าเดี๋ยวจะเข้าไปเยี่ยมอีกทีก่อนลงไปหาอะไรกิน เพราะช่วงนี้เวลาเยี่ยมนานหน่อย 14.00-16.00 น. พอดีคิดได้ว่าพ่อมีห่วงอีกหนึ่งอย่างคือ “เจ้าอ้วน” ที่มันไม่ยอมกินข้าวสักเม็ดตั้งแต่วันที่พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่ก็เข้าไปอีกที บอกพ่อว่า “ไม่ต้องห่วงเจ้าอ้วนแม่กับโม่จะเลี้ยง ดูแลอย่างดีที่สุดเหมือนพ่อดูแลมัน”
แม่กลับออกมานั่งกับโม่หน้าห้อง แป๊บเดียวพยาบาลก็วิ่งออกมาตามญาติของพ่อ...
หัวใจพ่อหยุดเต้นเวลา 15.25 น. เป็นเวลา 24 ชั่วโมงพอดีที่พ่อย้ายมาจากไอซียูศัลยกรรม

แม่กับโม่กราบเท้าพ่อ และบอกเป็นครั้งสุดท้าย .. ว่าขอให้ไปดี... ชาติหน้ามีจริงเราจะมาพบกันอีก แม่อยากร้องไห้ แต่กลัวว่าจะเพิ่มความเศร้าโศกให้ลูก กลัวลูกจะเสียขวัญ จริงๆ อยากร้องไห้และอยากบอกดังๆ ว่า เมื่อก่อนตอนที่เราร้ายๆต่อกัน แม่อยากให้พ่อตายๆๆๆ วันละไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าตอนนั้นพ่อตายแม่คงไม่เสียใจเท่าตอนนี้ ความรู้สึกบอกว่าโลกรังแกจิตใจเราเหลือเกิน ตอนที่พ่อทำอะไรร้ายๆ กับแม่ ทำไมพ่อไม่ตาย ณ วันนี้ พ่อเป็นคนดี อารมณ์ดี มนุษยสัมพันธ์ดี ขยัน ดูแลแม่และลูกเสมอ แม่ลูกเอ่ยปากอยากกินอะไร พ่อเป็นต้องหามาทำให้กินจนได้ แม้ของบางอย่างจะหาซื้อยากและแพงก็ตาม (ไม่ดีอยู่อย่างคือไม่เลิกดื่ม) ทำไมต้องมาทำให้เราจากกันตอนที่พ่อเป็นคนดี... พ่อจะกลับมาตอบคำถามนี้ก็ได้นะ

แม่โทร.บอกป้าแอ๊ดว่าพ่อไปแล้ว เป็นเวลาเดียวกันกับที่ล้อรถทัวร์นครชัยแอร์กำลังหมุนออกจากสถานีเชียงใหม่พอดี...
โม่ไปเคลียร์เงินส่วนเกิน ค่ายานอกบัญชี, ค่าเกล็ดเลือด, และอื่นๆ 3,700 กว่าบาท (จากค่ารักษาตามบิล หนึ่งแสนกว่าบาท) หมออาร์ท กับหมออีกคนจำชื่อไม่ได้แล้ว ขอยืมฟิล์มเอ็กซเรย์ที่เอามาจากพยาไทฯ เพื่อเอาไปเป็นกรณีศึกษา เพราะหมอก็ยังงงเหมือนเรา ว่าทำไมพ่อไม่มีอาการป่วยอะไรก่อนหน้านี้เลย อยู่ๆ พอมาถึงมือหมอก็เป็นระยะสุดท้าย และก็ทรมานอยู่แค่ 4 วัน ก็จากไปเลย อาจจะเป็นบุญของพ่อนะ ที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานนาน

ตอนนี้พ่อก็ยังอยู่ไอซียู อีก 1 ชั่วโมงแล้วจึงย้ายลงไปห้องเก็บศพตามกฎของ ร.พ. เราจะรับพ่อกลับได้ก็ พรุ่งนี้ แม่ฝากให้พ่อนอน ร.พ.อีกคืนนะ... พรุ่งนี้แม่จะเอาชุดเก่งไปแต่งตัวให้พ่อ
แม่กับโม่รีบกลับมาที่วัดทุ่งกราด (วัดศรีธรรมาราม) มาหาหลวงตา (หลวงตาไวพจน์ รักษาการเจ้าอาวาส) หลวงตาตกใจมาก เพราะไม่กี่วันนี้เองพ่อยังแกงสะแรมาให้หลวงตาฉัน นั่งคุยกับหลวงตาตั้งนาน..หลวงตาเมตตาต่อเรามาก สั่งทำความสะอาดศาลา จัดการเรื่องพิธีกรรมต่างๆ ทั้งหมด รวมถึงติดต่อเรื่องอาหาร และดอกไม้ให้ด้วย

เพื่อนๆ โม่มาที่บ้านช่วยเลือกรูปพ่อและเอารูปไปอัด เก็บข้าวของพ่อลงกล่อง นอนค้างอยู่เป็นเพื่อนด้วย..หลายคน หลายคนถามว่าทำไมแม่ไม่นำร่างพ่อไปบำเพ็ญกุศลที่เชียงใหม่..

เหตุที่แม่ไม่เอาพ่อกลับไปทำบุญที่เชียงใหม่ เพราะ
1. พ่อตั้งใจมา และอยากมามากๆ ที่จะมาอยู่กับโม่ เมื่อชีวิตพ่อมาสิ้นสุดที่นี่จะขับไสไล่ส่งพ่อไปได้อย่างไร
2. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงมาก การขออนุญาตเอาศพข้ามจังหวัดยุ่งยาก คิดดูนะ พ่อต้องนอนทรมานตากแดดตากลมไปอีกอย่างน้อย 12 ชั่วโมง 834 กิโล.. พ่อถึงจะได้นอนอย่างสงบ

ไว้ครบร้อยวันค่อยกลับบ้านเรานะ...พ่อนะ

ครบ 100 วัน วันที่ 23 เมษายน 2552 แม่จะทำกับข้าวอร่อยๆ มาให้พ่อกินกับหลวงตาที่วัด ทุ่งกราดก่อน ตอนเย็นๆสัก 5 โมง เรา( หมายถึง โกศกระดูกพ่อ, แม่, โม่ และเจ้าอ้วน ลูกสุดท้องของพ่อ) จะเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อเตรียมทำบุญให้พ่อ ในวันที่ 25 เมษายนนี้............

ตอนนี้หลานตาอยู่ในท้องลูกเมได้ 5 เดือนกับ 2 วัน ของขวัญวันพ่อเมื่อ 5 ธันวาคม ปีที่แล้วไงจ๊ะ เราเคยพูดว่าจะช่วยกันเลี้ยงหลาน สองคนตายาย วันนี้พ่อก็มาจากไป ทิ้งให้แม่เป็นคุณยายคนเดียว

โอเค. แล้วแม่จะเขียนถึงพ่ออีก...

รักพ่อ
10/3/2552

คุณยายคนใหม่

ฉันไม่อาจรู้ได้ว่า ตอนที่แม่ทราบว่าฉันตั้งท้อง แม่จะมีความรู้สึกอย่างไร แต่ที่ยังจำได้ แม้จะผ่านมา สามสิบกว่าปีแล้ว ก็คือ แม่จะห่วงฉัน ให้คอยระวังอารมณ์ ห่วงเรื่องอาหารการกิน ห่วงเรื่องสวัสดิภาพต่างๆ

มาถึง ณ วันนี้ เมื่อลูกสาวบอกว่า "ท้องแล้ว" ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ ดีใจ ที่จะได้มีหลานเหมือนชาวบ้านเขา เตรียมตัว เตรียมใจ ที่จะเลี้ยงดูเขา เฝ้าแต่คิดว่า เอ...เขาจะหน้าตาเหมือนพ่อ หรือแม่นะ

ฉันก็ยังห่วงลูกสาวเรื่องอาหารการกิน และเรื่องอื่นๆ เหมือนที่แม่เคยห่วงฉัน ตอนนี้ลูกเขยไปทำงานต่างจังหวัด 1 เดือน ฉันก็เลยไปรับลูกสาวจากเชียงใหม่มาอยู่ด้วยที่เมืองชล (บ้านลูกชายคนโต) พอลูกเขยกลับมา ก็คงต้องคืนให้เขาไปก่อน แล้วจะหาโอกาสจิ๊กเอามาใหม่ คราวนี้แหละ จะเอาทั้งแม่ทั้งลูกเลยแหละ

ฉันคิดว่าจะตั้งชื่อเขาอย่างไรดี เปิดเว็บตั้งชื่อ ...สาระพัด ถามว่าเห่อไหม ก็ตอบได้เลยว่าเห่อสิ อายุจวนจะหกสิบแล้ว เพิ่งจะได้เป็นยาย ขณะที่เพื่อนๆ เป็นย่า เป็นยายตั้งแต่อายุสี่สิบกว่าๆ เอ...แล้วจะอุ้มหลานไหวหรือนี่??

ฉันบอกลูกว่า ไม่ต้องไปทำอัลตร้าซาวด์หรอก ลุ้นดีกว่า...ตื่นเต้นกว่า ว่าจะเป็นหญิง หรือชาย ขอ 2 อย่างคือ อาการครบ 32 และไม่เป็นคน2เพศก็พอละ (กะเทยไง รู้จักป่าว?)

เอาละ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังใหม่แล้วกัน