
ขอบคุณที่ติดตามสาระดีๆค่ะ....
ขวบแรกของลูก พ่อแม่ต้องใส่ใจ
เด็กน้อยเมื่อได้รับการใส่ใจดูแลด้วยความรัก ความใจใส่จากแม่พ่อย่อมเติบโตเป็นคนดี สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ จัดมหกรรมการเรียนรู้ของพ่อแม่มือใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพลูกน้อยขวบปีแรก "เฟิร์ท เยียร์ ออฟ ไลฟ์ แอท สมิติเวช แฟร์" (First Year of Life @ Samitivej Fair) โดยมีกิจกรรมต่างๆ ควบคู่กับการจัดเสวนาเรื่อง "เก่งด้วย ฉลาดได้ ตั้งแต่วัยขวบปีแรก" โดยมีแพทย์หญิงสุวิมล ชีวมงคล กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการนำศิลปะแขนงต่างๆ มาบำบัดร่วมให้ความรู้
แพทย์หญิงสุวิมลบอกว่า เด็กต้องการต้นแบบที่ดี พ่อแม่และคนรอบข้างสำคัญมาก เพราะเด็กอยู่ในวัยเรียนรู้จากการสังเกตสิ่งที่เห็นรอบตัว ภาษาที่พูดสื่อสารกับลูกควรเป็นภาษาที่ชัดเจนปกติ พูดความจริงเป็นเหตุเป็นผลกับเด็ก
"ในขวบปีแรกของเด็กฐานการกินเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันระหว่างพ่อแม่หรือคนเลี้ยงดูเด็กกับเด็ก สมมุติว่าเด็กบางคนไม่ทานตับ อาจหาไข่แดงมาให้ทาน เป็นการพัฒนาความสามารถในการกิน เด็กเคี้ยวอาหารได้ แม้ว่าฟันยังไม่ขึ้นและการให้อาหารเด็กนั้นก่อน 1 ขวบไม่ควรให้อาหารที่มีการปรุงรสชาติ"
ด้านแพทย์หญิงชนิกา ตู้จินดา ประธานโรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์ บอกต่อว่า ขวบปีแรกของเด็กเป็นสิ่งแรกในทุกสิ่งทุกอย่างที่จะพัฒนาให้เด็กเป็นเด็กดี ร่างกายแข็งแรง เดี๋ยวนี้เด็กเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทั้งไอคิวและอีคิว ซึ่งความใกล้ชิดของพ่อแม่สำคัญมาก และเด็กต้องมีภูมิต้านทานต่อโลกภายนอกด้วย
"มีการศึกษาชัดเจนว่าแม่ที่มีความเครียดตลอดการตั้งครรภ์เด็กออกมาจะเลี้ยงยาก บางทีเป็นโรคหอบหืดอารมณ์เด็กปั่นป่วนตามแม่ ดังนั้น ให้แม่ที่ตั้งครรภ์ทำอะไรที่สบายใจ นึกถึงแต่เรื่องดี เมื่อเด็กคลอดออกมาในขวบปีแรก ต้องกล่อมเกลาให้เขาเติบโตดี มีร่างกายดี จิตใจดีเป็นคนดี พ่อแม่คือ สิ่งที่ลูกรักที่สุดในชีวิต ขวบปีแรกเป็นการพัฒนาต้นทุนที่สำคัญของลูก หากครอบครัวแตกแยก คนที่ดูแลลูกจะใครก็ได้ที่มีสัญชาตญาณของความเป็นพ่อแม่ และรักเด็กที่สุด" เมื่อผ่านพ้นขวบปีแรก ขวบต่อๆ ไปก็ต้องให้ความสนใจเช่นกัน
วิธีการนำเต้านมมารดาเข้าปากทารก
1. ประคองศีรษะทารกเข้าใกล้เต้านม มารดาช้อนเต้านมรอไว้
2. มารดาประคองเต้านมให้หัวนมเตะริมฝีปากล่างของทารกเพื่อกระตุ้มให้ทารกคาบหัวนม
3. มารดาช้อนเต้านมให้หัวนมเข้าปากทารก
4. มารดาประคองศีรษะทารกเข้าหาเต้านม
การปฏิบัติตนระหว่างให้นมบุตร
- ควรสวมยกทรงไว้เสมอ (เพื่อลดความเจ็บปวด และการหย่อนยาน)
- ถ้าเจ็บปวดเต้านมใน 2 - 3 วันหลังคลอด (มารดาท้องแรก) เป็นการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง ให้ ประคบด้วยความเย็น สลับความรัอนเพื่อลดความเจ็บปวด และกระตุ้นให้น้ำนมไหล ด้วยการให้ทารกดูด นมเร็วที่สุด (ทันทีหลัง หลอด) และดูดบ่อย ๆ
- ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณเต้านมระหว่างเวลาให้นมทารก (ควรฟอกเฉพาะเช้าและเย็นเท่านั้น และล้างสบู่ ออกให้หมด)
- เวลาให้นมทารก มารดาควรให้ทารกคาบหัวนมไปจนถึงบริเวณบริเวณลานหัวนม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งน้ำนม
และเพื่อป้องกันหัวนมแตก นอกจากนั้นยังมีผลให้มดลูกเข้าอู่เร็ว และไม่ทำให้ทารกดูดลม เข้าทางมุมปากเพื่อป้องกันทารกท้องอืด
- ถ้ามีปัญหาหัวนมเจ็บ หรือแตก ควรใช้ครีมทาตามแพทย์สั่งและงดให้นมข้างนั้นจนกว่าจะหาย ระหว่าง งดให้นม
ควรบีบน้ำนมทิ้ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของน้ำนม เมื่อหายแล้วจะได้มีน้ำนมให้ทารก ตามปกติ
- ล้างมือและเช็ดหัวนมให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังให้นม เพื่อทำความสะอาดและเปิดช่องทางให้น้ำนมไหล
หลังให้นมทุกครั้งควรอุ้มลูกพาดบ่าเพื่อให้เรอ
- มารดาที่ให้นมทารกควรระมัดระวังเรื่องการรับประทานยา เมื่อเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์เพราะยาหลาย ชนิด
จะมีผลผ่านทาน้ำนมมารดาถึงทารกได้เช่น ยาดองเหล้า ยาจีน ยานอนหลับ ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้ อักเสบ) ต่าง ๆ ฯลฯ
- นอกจากยาแล้ว อาหารผักผลไม้บางอย่าง เช่น หัวหอม กะหล่ำปลี ฝรั่ง อาจทำให้ท้องอืด กลิ่นและ รส
ของน้ำนมเปลี่ยนไป ทำให้ทารกปฏิเสธน้ำนมมารดาอาหารหมักดองหรือมีสรจัดทำให้มารดาท้องเสีย
การบริบาลทารก การรักษาความสะอาด
- ผิวหนังบริเวณศีรษะและร่างกายโดยเฉพาะตามข้อพับของเด็กแรกคลอด จะพบว่ามีไขมันเกาะอยู่ ควร ใช้
สำลีสะอาดชุบน้ำมันมะกอกเช็ดเบา ๆไขมันจะค่อย ๆ ออกไปวันละน้อย จึงค่อยเช็ดตัวหรือสระผม อาบน้ำให้ทารก
(ให้อาบน้ำแบบแช่ได้ เมื่อสายสะดือหลุดแล้ว ซึ่งปกติสายสะดือจะหลุดประมาณ 7 วัน หลังคลอด)
วิธีจับทารก อาบน้ำมารดาควรใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับให้แน่นบริเวณใต้รักแร้ ทารก อ้อมไปถึงต้นแขน
เพื่อไม่ให้ทารกหลุดจากมือมารดา
- การดูแลสายสะดือทารก ควรทำความสะอาดโดยใช้สำลีพันปลายไม้หรือ Qtip ชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดจากโคนสะดือ
(บริเวณที่สะดือติดกับผิวหนังหน้าท้อง) มารดาควรล้างมือให้สะอาด แล้วจับเชือดที่ ผูกสายสะดือ เอียงไปทีละข้าง เพื่อเช็ดโคนสะดือมายังปลายสะดือ (จะเช็ดสะดือหลังเช็ดตัวทาแป้งหรือ ครีมแล้ว) ห้ามใช้แป้งโรยบนสะดือ เพราะจะเกิดการติดเชื้อจากความไม่สะอาดของแป้ง ถ้าทาครีมแล้ว ไม่ควรทาแป้งทับ
- มารดาควรสระผมให้ทารกได้วันละ 1 ครั้ง ก่อนสระควรใช้สำลีสะอาดชุบน้ำมันมะกอกเช็ดไขที่บริเวณ
ศีรษะ และด้านหลังใบหู เพื่อป้องกันการเป็นแผลที่เกิดจากการหมักหมมของไขมันเด็กโบราณเรียก “แผลชันนะตุ”
“ในรายที่เชือกผูกสายสะดือหลุดและมีเลือดไหลออกมาทางปลายสะดือ มารดาควรใช้เศษผ้าสะอาด
(ห้ามให้เชือก หรือด้ายพลาสติกที่มีความคม) ผูกสายสะดือเหนือบริเวณที่เคยผูก หรือบริเวณที่เคยผูก เพื่อให้เลือดหยุดและพามาโรงพยาบาล หรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน"
การให้ภูมิคุ้มกันโรค
มารดาควรพาทารกมาตรวจร่างกายและเริ่มให้ภูมิคุ้มกันโรค (โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ) เมื่อ ครบ 2 เดือน
เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจความเจริญเติบโตหรือความผิดปกติของทารก และวางแผนให้ภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งจะต้องให้หลายครั้ง
ตามกำหนดที่แพทย์วางแผนไว้ จึงจะได้ผลและมีความจำเป็นมากแก่ทารก (อาจพาทารกมาที่ โรงพยาบาล หรือ
ศูนย์อนามัยใกล้บ้านท่าน) เมื่อถึงกำหนดนัดถ้าทารกช่วยมีไข้ น้ำมูกไหล ต้องพาไปพบแพทย์เพื่อ รับการรักษาให้หาย จึงนำมาให้ภูมิคุ้มกันได้
อาการผิดปกติที่ต้องรับนำทารกส่งโรงพยาบาล
1. ทารกมีไข้สูงเกิน 38.4 อาศาเซลเซียส ระหว่างเดินทางมาพบแพทย์มารดาควรเช็ดตัวให้ด้วยน้ำธรรมดา
โดยเฉพาะบริเวณศรีษะควรวางกระเป๋าน้ำแข็งซึ่งอาจใช้ถุงพลาสติกเล็ก ๆ ใส่น้ำแข็งแล้วห่อผ้างวางที่ศรีษะเด็ก เพื่อป้องกันการชัก ถ้าทารกมีอุณหภูมิต่ำกว่า 36.1 อาศาเซลเซียส ควรให้ความอบอุ่นแล้วรับนำส่งแพทย์
2. ทารกมีอาเจียนพุ่งมากกว่า 1 ครั้ง มารดาต้องแยกให้ออกระหว่างอาเจียนกันสำรอก
การสำรอก จะเกิดเมื่อทารกได้รับน้ำนมหรือน้ำมากเกินความต้องการหรือเมื่อเปลี่ยนท่าของทารกเร็ว ๆ
หลังให้นมสิ่งที่ขับออกมา จะมีจำนวนน้อย
อาเจียน จะเกิดได้ตั้งแต่ทารกเริ่มได้น้ำนมหรือน้ำ และมีจำนวนมากว่าสำรอก ซึ่งมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ร้องกวนหรือผิดปกติ
ถ้าทารกอาเจียน ให้จับทารกนอนราบแล้วหันศรีษะไปข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลักอาเจียน
3. ทารกปฏิเสธการให้นมติด ๆ กันเกินกว่า 2 ครั้ง
4. ทารกง่วงซึมไม่เคลื่อนไหวแม้กระตุ้น
5. ทารกหน้าเขียวขณะให้นม ควรงดให้นม
6. ทารกไม่หายใจเกิด 15 วินาที
มีตอนที่ 3 อยู่นะคะ เร็วๆนี้ ขอไปทำธุระส่วนตัวก่อนค้า...